Day 3 - Fast August 2024 | วันที่ 3 - การอดอาหาร สิงหาคม 2567

As we gather one last time for this fast, let us be meditating on Isaiah 54. Both Pastor Luke and Aunt Helen (who visited us from Coastlands) felt prophetically that this passage is for our church for the coming season.

Isaiah 54

2 “Enlarge the place of your tent,

and let the curtains of your habitations be stretched out;

do not hold back; lengthen your cords

and strengthen your stakes.

3 For you will spread abroad to the right and to the left,

and your offspring will possess the nations

and will people the desolate cities.

4 “Fear not, for you will not be ashamed;

be not confounded, for you will not be disgraced;

for you will forget the shame of your youth,

and the reproach of your widowhood you will remember no more.

5 For your Maker is your husband,

the Lord of hosts is his name;

and the Holy One of Israel is your Redeemer,

the God of the whole earth he is called.

11 “O afflicted one, storm-tossed and not comforted,

behold, I will set your stones in antimony,

and lay your foundations with sapphires.[b]

12 I will make your pinnacles of agate,[c]

your gates of carbuncles,[d]

and all your wall of precious stones.

13 All your children shall be taught by the Lord,

and great shall be the peace of your children.

14 In righteousness you shall be established;

you shall be far from oppression, for you shall not fear;

and from terror, for it shall not come near you.

15 If anyone stirs up strife,

it is not from me;

whoever stirs up strife with you

shall fall because of you.

16 Behold, I have created the smith

who blows the fire of coals

and produces a weapon for its purpose.

I have also created the ravager to destroy;

17 no weapon that is fashioned against you shall succeed,

and you shall refute every tongue that rises against you in judgment.

This is the heritage of the servants of the Lord

and their vindication[e] from me, declares the Lord.”

As we continue to move forward with the mission that God has called One Light too, let’s do it with complete trust in our Redeemer and that promise that no storm, no enemy, and no weapon formed against will be able to prevail over us. The gates of hell will not be able to stop us.

____________________________________________

เมื่อเรารวมตัวกันเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อการอดอาหารนี้ ขอให้เราใคร่ครวญอิสยาห์บทที่ 54 ทั้งอาจารย์ Luke และป้า Helen (ผู้มาเยี่ยมเราจากคริสตจักร Coastlands) รู้สึกเป็นคำพยากรณ์ว่าข้อพระคำนี้มีไว้สำหรับคริสตจักรของเราในฤดูกาลที่จะมาถึง

อิสยาห์ 54

2 จงขยายกระโจมของเจ้าให้ใหญ่ขึ้น

และให้ม่านในที่อยู่อาศัยของเจ้าแผ่กว้างออกไป

ไม่ต้องยับยั้งไว้

ทำเชือกของเจ้าให้ยาวขึ้น

และทำหมุดให้แข็งแรง

3 เพราะเจ้าจะแผ่ขยายออกไปได้กว้างไกล ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา

และเชื้อสายของเจ้าจะได้เป็นเจ้าของบรรดาประชาชาติ

และพวกเขาจะเป็นเจ้าของเมืองร้างทั้งหลาย

4 อย่ากลัวเลย ด้วยว่า เจ้าจะไม่ต้องอับอาย

อย่าสับสนเพราะเจ้าจะไม่ต้องอัปยศอดสู

ด้วยว่า เจ้าจะลืมความขายหน้าที่มีในวัยแรกรุ่น

และความเป็นม่ายซึ่งทำให้เจ้าถูกตำหนิติเตียนก็จะไม่อยู่ในความทรงจำอีกต่อไป

5 ด้วยว่า องค์ผู้สร้างของเจ้าเป็นสามีของเจ้า

พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาคือพระนามของพระองค์

และองค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอลคือองค์ผู้ไถ่ของเจ้า

พระองค์มีชื่อว่า พระเจ้าแห่งโลกทั้งโลก

11 “โอ เจ้าผู้รับความลำบาก ผู้ที่ถูกพายุพัดพาไปและไม่ได้กำลังใจ

ดูเถิด เราจะสร้างเจ้าด้วยพลอยสีฟ้า

และวางฐานรากของเจ้าด้วยนิลสีคราม

12 เราจะทำเชิงเทินของเจ้าด้วยทับทิม

ทำประตูด้วยแก้วผลึก

และกำแพงทุกด้านด้วยเพชรพลอย

13 พระผู้เป็นเจ้าจะสั่งสอนบุตรของเจ้าทุกคน[c]

และบรรดาบุตรของเจ้าจะมีสันติสุขยิ่งนัก

14 เจ้าจะได้รับความมั่นคงในความชอบธรรม

เจ้าจะอยู่ห่างจากการถูกบีบบังคับ

เพราะเจ้าจะไม่กลัว

และเจ้าจะอยู่ห่างจากความหวาดกลัว

เพราะมันจะไม่เข้าใกล้ตัวเจ้า

15 ถ้าหากว่ามีผู้ใดก่อการทะเลาะวิวาท

ก็ไม่ใช่เกิดจากเรา

ใครก็ตามที่ก่อการทะเลาะวิวาทกับเจ้า

เขาก็จะล้มเพราะเจ้า

16 ดูเถิด เราได้สร้างช่างตีเหล็ก

ซึ่งพัดไฟให้ลุกขึ้นจากถ่านหิน

และสร้างอาวุธตามจุดประสงค์

เราได้สร้างผู้ก่อความพินาศขึ้นเพื่อทำลายจนไม่ให้เหลือซาก

17 ไม่มีอาวุธใดที่ยกขึ้นต่อต้านเจ้าจะทำได้สำเร็จ

และทุกลิ้นที่กล่าวหาเจ้าจะถูกกล่าวโทษ

นี่คือมรดกของบรรดาผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า

และความชอบธรรมของพวกเขามาจากเรา”

พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

ในขณะที่เรายังคงก้าวไปข้างหน้ากับพันธกิจที่

พระเจ้าทรงเรียก คริสตจักร One Light ขอให้ทำพันธกิจนี้ด้วยความวางใจอย่างเต็มที่ในพระผู้ไถ่ของเรา และขอสัญญาว่าไม่มีพายุ ไม่มีศัตรู และไม่มีอาวุธใดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้จะสามารถมีชัยเหนือเราได้ ประตูนรกก็ไม่สามารถหยุดเราได้

Day 2 - Fast August 2024 | วันที่ 2 - การอดอาหาร สิงหาคม 2567

John 5

19 So Jesus said to them, “Truly, truly, I say to you, the Son can do nothing of his own accord, but only what he sees the Father doing. For whatever the Father does, that the Son does likewise.

During His life on earth, Jesus lived a life of perfect obedience. He also had perfect discernment of the Father’s will. In order for us to be Christ-like, we need to be able to discern the perfect will of God for our lives and follow His plans as perfectly as we can.

Fasting and praying in the presence of God is often how people in the Bible would receive revelation, instruction, or direction from God.

Examples:

  • Instruction to the Antioch church to set apart Paul and Barnabas for mission (Acts 13)

  • Revelation of the 10 commandments to Moses the second time (Exodus 34)

  • Direction to Israel to go up against Benjamin in battle (Judges 20)

As we fast and appear before God, let us wait and listen to see if God has something to say to us as individuals or as a church.

_______________________

ยอห์น 5

19 พระเยซูกล่าวตอบพวกเขาว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า พระบุตรไม่อาจกระทำสิ่งใดตามลำพังเอง นอกจากจะเป็นสิ่งที่เห็นพระบิดากระทำ ด้วยว่าสิ่งใดก็ตามที่พระบิดากระทำ พระบุตรก็กระทำสิ่งเหล่านั้นด้วย

ในชีวิตของพระองค์บนโลกนี้ พระเยซูทรงดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์ พระองค์ทรงมีการสังเกตสมบูรณ์ถึงน้ำพระทัยของพระบิดา เพื่อให้เราเป็นเหมือนพระคริสต์ เราต้องสามารถสังเกตออกน้ำพระทัยของพระเจ้าที่สมบูรณ์แบบสำหรับชีวิตของเรา และตามแผนการของพระองค์ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะทำได้

การอดอาหารและอธิษฐานต่อพระพักตร์พระเจ้ามักเป็นวิธีที่ผู้คนในพระคัมภีร์จะได้รับการเปิดเผย คำแนะนำ หรือการนำจากพระเจ้า

ตัวอย่าง:

  • คำแนะนำให้คริสตจักรอันทิโอกแยกเปาโลและบารนาบัสไปประกาศ (กิจการ 13)

  • การเปิดเผยพระบัญญัติ 10 ประการแก่โมเสสครั้งที่สอง (อพยพ 34)

  • การนำให้อิสราเอลสู้รบกับเบนยามิน (ผู้วินิจฉัย 20)

เมื่อเราอดอาหารและเข้าเฝ้าพระเจ้า ให้เรารอและฟังว่าพระเจ้ามีบางสิ่งที่จะตรัสกับเราเป็นรายบุคคลหรือเป็นทั้งคริสตจักร

Fast August 2024 | การอดอาหาร สิงหาคม 2567

Psalm 42

1 As a deer pants for flowing streams,

so pants my soul for you, O God.

2 My soul thirsts for God,

for the living God.

When shall I come and appear before God?

For most of us, we now live in an age where we never have to worry about going hungry or thirsty. We have plenty of food and drink options wherever we go. Being full is something we feel far more often than hunger or thirst. In addition to this, we also live in a time where we carry around these little devices in our pockets everywhere we go that is constantly filling our eyes, ears, and minds with information and entertainment.

It is no wonder why souls can often feel hungry, thirsty, dry. Our bodies and minds are constantly consuming, and we neglect fueling our souls with God.

But, here is the Good News, my friends: our God is always waiting for us: When shall I come and appear before God?

We pray and ask God to come to us and be before us, but fasting and praying is an opportunity for us to come and appear before God, to be filled with Him by Him.

John 7

37 On the last day of the feast, the great day, Jesus stood up and cried out, “If anyone thirsts, let him come to me and drink. 38 Whoever believes in me, as the Scripture has said, ‘Out of his heart will flow rivers of living water.’”

He stands waiting. Waiting to fill us once again. Come friends, as we empty ourselves, let’s drink of Him.

(Here is a wonderful old song to help us reflect)

______________________________

สดุดี 42

1 กวางกระเสือกกระสนหาธารน้ำไหลฉันใด

    โอ พระเจ้า จิตวิญญาณข้าพเจ้าก็กระเสือกกระสนหาพระองค์ฉันนั้น

2 จิตวิญญาณข้าพเจ้ากระหายหาพระเจ้า

    หาพระเจ้าผู้ดำรงอยู่

เมื่อใดข้าพเจ้าจึงจะได้เห็นใบหน้าของพระเจ้า

สำหรับพวกเราส่วนใหญ่ ตอนนี้เราอยู่ในช่วงเวลาที่เราไม่ต้องกังวลว่าจะหิวหรือกระหายน้ำ เรามีอาหารและเครื่องดื่มให้เลือกมากมายไม่ว่าจะไปที่ไหน การอิ่มเป็นสิ่งที่เรารู้สึกบ่อยกว่าความหิวหรือกระหาย นอกจากนี้ เราอยู่ในช่วงเวลาที่เราพกพาอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆ เหล่านี้ติดกระเป๋าไปทุกที่ที่ไปซึ่งข้อมูลและความบันเทิงจะเต็มตาหูและความคิดของเราอยู่เสมอ

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมจิตวิญญาณจึงรู้สึกหิว กระหายน้ำและแห้งแล้งบ่อยครั้ง ร่างกายและจิตใจของเราเสพอยู่ตลอดเวลา และเราละเลยการเติมเชื้อเพลิงให้กับจิตวิญญาณของเรากับพระเจ้า

แต่นี่คือข่าวดีนะเพื่อน ๆ พระเจ้าของเรารอคอยเราอยู่เสมอ: เมื่อใดข้าพเจ้าจึงจะได้เห็นใบหน้าของพระเจ้า 
เราอธิษฐานและขอให้พระเจ้ามาหาเราและอยู่ต่อหน้าเรา แต่การอดอาหารและอธิษฐานเป็นโอกาสสำหรับเราที่จะมาปรากฏต่อพระพักตร์พระเจ้า เพื่อจะเต็มไปด้วยพระองค์โดยพระองค์

ยอห์น 7

37 ในวันสุดท้ายอันเป็นวันยิ่งใหญ่ของงานเทศกาลนั้น พระเยซูยืนขึ้นกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ถ้าผู้ใดกระหายก็ให้เขามาหาเราและดื่ม 38 ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่า ผู้ที่เชื่อเรา ‘จะมีแม่น้ำที่มีน้ำแห่งชีวิตไหลจากภายในที่เป็นส่วนลึกสุดของเขา’”

มาเพื่อนๆพระองค์ยืนรออยู่ รอให้เรามาเติมเต็มอีกครั้ง เมื่อเราทำตัวว่างๆ มาดื่มพระองค์กัน

(นี่คือเพลงเก่าที่ยอดเยี่ยมเพื่อช่วยให้เราไตร่ตรอง)

Fast March 2024 | การอดอาหาร มีนาคม 2567

Isaiah 28 talks about God having a wonderful plan and magnificent wisdom in giving instruction to the farmer to know the proper timing of what to do and when.

Isaiah 28:23-29 (NIV)

23 Listen and hear my voice;

pay attention and hear what I say.

24 When a farmer plows for planting, does he plow continually?

Does he keep on breaking up and working the soil?

25 When he has leveled the surface,

does he not sow caraway and scatter cumin?

Does he not plant wheat in its place,

barley in its plot,

and spelt in its field?

26 His God instructs him

and teaches him the right way.

27 Caraway is not threshed with a sledge,

nor is the wheel of a cart rolled over cumin;

caraway is beaten out with a rod,

and cumin with a stick.

28 Grain must be ground to make bread;

so one does not go on threshing it forever.

The wheels of a threshing cart may be rolled over it,

but one does not use horses to grind grain.

29 All this also comes from the Lord Almighty,

whose plan is wonderful,

whose wisdom is magnificent.

Almighty God has wonderful plans for us, but it isn’t always comfortable. There are seasons for plowing and readying soil, and there are seasons for sowing. There are seasons for growing and harvesting but also very uncomfortable seasons of threshing and grinding. A grain of wheat has to go through all these steps in order to arrive at its final purpose: bread.

Of the different seasons, threshing seems to be a particularly brutal and uncomfortable process. In Isaiah’s time period, farmers would lay the harvested wheat on the ground and ride over it with a threshing sledge (pictured above) with sharp rocks on the bottom to separate the grains of wheat from the chaff. The farmer would often stand on top of the threshing sledge in order to add weight and make the sledge more effective. It is a pretty brutal picture when you consider that in Isaiah, God is talking about the threshing process as something that He does in the lives of the people that He loves.

God bringing discomfort into our lives for our good is throughout the Bible:

John 15:1 “I am the true vine, and my Father is the vinedresser. 2 Every branch in me that does not bear fruit he takes away, and every branch that does bear fruit he prunes, that it may bear more fruit.”

Isaiah 64:8 But now, O Lord, you are our Father; we are the clay, and you are our potter; we are all the work of your hand.

It is not fun to be a branch that is being pruned or to be clay the hands of a potter. Scott Hahn puts it like this: “God loves us just as we are, but He loves too much to leave us that way.”

We have a glorious purpose, and God sometimes uses difficult seasons to make us into who He wants us to be.

Are you experiencing spiritual warfare? Are you going through a difficult and challenging season? Does your life feel heavy and intense right now?

We will spend the next 3 days of the fast exploring these 3 questions:

  1. What is God pruning away from your life in this season?

  2. What is God refining in you in this season?

  3. Can you trust that God’s plan is still wonderful and that His wisdom is magnificent?

_____________________________________________

อิสยาห์ 28 พูดถึงพระเจ้าเป็นที่ปรึกษาผู้ล้ำเลิศและมีพระปัญญาของพระองค์ดีเลิศ พระเจ้าทรงสอนชาวนาให้รู้ช่วงเวลาของฤดูกาล

อิสยาห์ 28:23-29

23 จงเงี่ยหูฟังเสียงของข้าพเจ้า จงใส่ใจ

และฟังคำพูดของข้าพเจ้า

24 คนไถนาก่อนที่จะหว่าน เขาไถดินเรื่อยไปหรือ

เขาเบิกและไถคราดพื้นดินเรื่อยไปหรือ

25 เมื่อเขาไกล่ผิวดินเสมอกันแล้ว

เขาจะไม่โปรยเมล็ดยี่หร่า หว่านเมล็ดผักชี

และปลูกข้าวสาลีเป็นแถว

ปลูกข้าวบาร์เลย์ให้ถูกที่

และข้าวสาลีป่าตามขอบเขตหรือ

26 เพราะเขาได้รับการสอนอย่างถูกวิธี

พระเจ้าของเขาสอนเขา

27 ไม่มีใครใช้คราดนวดเมล็ดผักชี[d]

หรือใช้ล้อเกวียนหมุนบดยี่หร่า

แต่เขาจะใช้ไม้ตีเมล็ดผักชี

และไม้ตะบองทุบยี่หร่า

28 เมล็ดข้าวต้องถูกบดเพื่อทำขนมปัง

แต่เขาไม่ทำเช่นนั้นตลอดไป

แม้ว่าเขาจะขับเกวียนให้ล้อทับข้าว

ม้าของเขาก็บดข้าวไม่ได้

29 บทเรียนนี้มาจากพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา

พระองค์เป็นที่ปรึกษาผู้ล้ำเลิศ

และพระปัญญาของพระองค์ดีเลิศ

พระเจ้าผู้ทรงอำนาจมีแผนงานที่ยอดเยี่ยมสำหรับเรา แต่ก็ไม่ได้สะดวกเสมอไป มีฤดูกาลสำหรับการไถและเตรียมดิน และมีฤดูกาลสำหรับการหว่าน มีฤดูกาลสำหรับการเจริญเติบโตและการเก็บเกี่ยวแต่ก็มีฤดูกาลนวดและบดที่ไม่สะดวกสบายเช่นกัน เมล็ดข้าวสาลีต้องผ่านสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อบรรลุจุดประสงค์สุดท้าย: ขนมปัง

ในฤดูกาลต่างๆ การนวดข้าวดูเหมือนจะเป็นกระบวนการที่โหดร้ายและไม่สะดวกสบายเป็นพิเศษ ในสมัยของอิสยาห์ ชาวนาจะวางข้าวสาลีที่เก็บเกี่ยวแล้วบนพื้นดินแล้วใช้เลื่อนนวดข้าว (ตามภาพด้านบน) ขี่ไปโดยมีหินแหลมคมอยู่ด้านล่างเพื่อแยกเมล็ดข้าวสาลีออกจากแกลบ ชาวนามักจะยืนอยู่บนเลื่อนนวดข้าวเพื่อเพิ่มน้ำหนักและทำให้เลื่อนมีประสิทธิภาพมากขึ้น มันเป็นภาพที่โหดร้ายทีเดียวเมื่อคุณพิจารณาว่าในอิสยาห์ พระเจ้ากำลังพูดถึงกระบวนการนวดข้าวว่าเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงทำในชีวิตของคนที่พระองค์ทรงรัก

พระเจ้านำสิ่งที่ไม่สะดวกสบายเข้ามาในชีวิตของเราเพื่อประโยชน์ของเรามีให้เห็นตลอดทั้งพระคัมภีร์:

ยอห์น 15:1 “เราคือเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราคือผู้ดูแลรักษาสวน 2 พระองค์ตัดทุกกิ่งก้านที่เป็นส่วนหนึ่งของเราซึ่งไม่ออกผลทิ้งเสีย กิ่งก้านใดที่ผลิดอกออกผล พระองค์จะตัดแต่งให้ออกผลมากขึ้น”

อิสยาห์ 64:8 แต่มาบัดนี้ โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์คือพระบิดาของพวกเราเราเป็นดินเหนียว พระองค์เป็นช่างปั้นหม้อ พวกเราทุกคนเป็นผลงานจากฝีมือของพระองค์

การเป็นกิ่งก้านที่ถูกลิดกิ่งหรือดินเหนียวด้วยมือของช่างปั้นไม่ใช่เรื่องสนุก สก็อตต์ ฮาห์น กล่าวไว้ดังนี้: “พระเจ้าทรงรักเราในแบบที่เราเป็น แต่พระองค์ทรงรักมากเกินไปที่จะปล่อยเราไว้ให้คงอยู่อย่างนั้น”

เรามีจุดประสงค์อันรุ่งโรจน์ และบางครั้งพระเจ้าทรงใช้ช่วงเวลาที่ยากลำบากเพื่อทำให้เราเป็นคนที่พระองค์ทรงต้องการให้เราเป็น

คุณกำลังประสบกับสงครามฝ่ายวิญญาณหรือไม่? คุณกำลังผ่านฤดูกาลที่ยากลำบากและท้าทายหรือไม่? ชีวิตของคุณรู้สึกหนักหน่วงและเข้มข้นในตอนนี้หรือไม่?

เราจะใช้เวลา 3 วันถัดไปในการสำรวจคำถาม 3 ข้อเหล่านี้:

  1. พระเจ้าทรงตัดอะไรไปจากชีวิตของคุณในฤดูกาลนี้?

  2. พระเจ้าทรงขัดเกลาอะไรในตัวคุณในฤดูกาลนี้?

  3. คุณวางใจได้ไหมว่าแผนของพระเจ้ายังคงอัศจรรย์และพระปัญญาของพระองค์ยิ่งใหญ่?

Fast Fall 2023 Day 3 | การอดอาหาร ฤดูใบไม้ร่วง 2566 วันที่ 3

Speaking like a Watchman

On the last day of our fast, we will focus on the idea of “speaking like a watchman.” As mentioned on Day 1, a physical watchman in biblical times was tasked to watch carefully and if an enemy was approaching, to take up his trumpet and blow a warning to the people. If the watchman failed to see the enemy approaching, or for whatever reason, failed to blow the warning signal, people would die. But if he was faithful, and succeeded in warning them, many lives of the people would be spared. The people of the city would be able to get prepared, to defend themselves, and perhaps save themselves from being destroyed.

Ezekiel was called to be a ‘spiritual’ watchman to the people living in exile and to warn a people that didn’t want to hear. He was to stand atop the ‘spiritual’ city wall and speak of God’s approaching and well-deserved judgment. Who would like to sign up for that job? It probably would have been much easier and better for his reputation if he just did not say anything, and let the justice and judgment of God come upon the people. But that would have been like a watchman who didn’t want to make people upset by waking them up in the middle of the night, so they let the people sleep and be killed.

If there was any ounce of care and concern for the people of the city, the watchman had to “speak up” when danger was near, even if that meant giving a message that was unpopular or a great ‘disturbance’ in the lives of others.

I was reminded afresh of some of Jesus’ last words while on He was on Earth:

“You will be my witnesses to the whole world (Acts 1:8);”

“Go and make disciples of all nations (Matt. 28:19,20);”

“As my Father has sent me, even so, I am sending you (John 20:21).”

God has placed His church as watchmen in this world and has entrusted us with the message by which all may be saved! First, warning people of the seriousness of sin and its consequences according to the Bible. This is not a popular message in today’s society, but extremely necessary in order for people to understand their true state before God. But then, sharing with them the good news of salvation in Jesus Christ! That God is patient with us, not wanting anyone to perish, but everyone to come to repentance.” (2 Peter 3:8–9). That God so loved the world that He gave His One and only Son (John 3:16), and that through Jesus’s sacrifice on the cross, has cleansed us from the stain of sin, has given us a new heart, and put His Spirit to confirm we are His in us. What a message of hope to a world desperately in need of it!

And yes, there will be some who do not listen, just as in Ezekiel’s time. But, ultimately it is not our responsibility to try and change hearts. Ezekiel's job was to walk closely with God so that He was able to hear when God was speaking, and then to speak it with the empowerment and discernment of God’s Spirit. After that, to leave the results confidently in God’s hands.

Romans 10:13-15 says:

13 ‘Everyone who calls on the name of the LORD will be saved.’ 14 But how can they call on him to save them unless they believe in him? And how can they believe in him if they have never heard about him? And how can they hear about him unless someone tells them? 15 And how will anyone go and tell them without being sent? That is why the Scriptures say, “How beautiful are the feet of messengers who bring good news!”

Feet are not typically considered body parts of physical beauty. But the feet of the messengers were considered beautiful, not because of their appearance, but because of the life-changing news they carried.

Think of this picture of a messenger running across the mountains to deliver good news to the people. This was common in biblical times,there was no SMS, no Facebook Messenger. There were “actual messengers” that would run from city to city, bringing important news like military victories or defeats or other significant events that needed to be known right away. And Isaiah’s description of the messenger’s feet being beautiful (that’s what Paul uses here in Romans) is a picture of the joyful and life-changing message of salvation that God would soon bring to His people. He would free them from their spiritual captivity through the coming of the Messiah – Jesus Christ.

And thanks be to God! Jesus has come, freed us from the power of sin and death, and in his mercy given us an inheritance that is imperishable, undefiled, and unfading, waiting for us in Heaven. But until that day when Christ returns, Paul asks, how can they hear, believe, and experience that same freedom in Jesus unless someone tells them? This is a time, One Light Church, for us to be alert/wake up and take our place as watchmen. Through the power of the Holy Spirit, to mount the walls and sound a clear, unmistakable message of warning and hope to the world. Out of love and care, fulfilling the wonderful duty that God has given each of us, knowing our time is limited as we await the return of our King, Jesus.

  • How is God inviting you to be a part of the OLC community on mission to “speak like a watchmen”?

  • Is God highlighting someone in particular for you to pray for and speak to?

พูดเหมือนคนเฝ้ายาม

สำหรับวันสุดท้ายของการอดอาหารอธิษฐานเราจะเน้นไปที่แนวคิด “พูดเหมือนคนเฝ้ายาม” อย่างที่พูดถึงไว้ในวันที่ 1 ว่าคนเฝ้ายามในสมัยพระคัมภีร์ได้รับมอบหมายให้เฝ้าดูอย่างระมัดระวังและหากมีศัตรูเข้ามาใกล้ ให้เป่าแตรของเขาเตือนภัยให้กับประชาชน ถ้ายามไม่เห็นว่าศัตรูเข้ามาใกล้ หรือไม่สามารถส่งสัญญาณเตือนภัยได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม อาจจะมีผู้คนล้มตายได้ แต่ถ้าเขาสัตย์ซื่อต่อหน้าที่และเตือนภัยให้ประชาชนได้สำเร็จ ผู้คนมากมายก็จะรอด และคนในเมืองจะสามารถเตรียมพร้อม ปกป้องตัวเอง และช่วยตัวเองจากการถูกทำลายได้

เอเสเคียลได้รับเรียกจากพระเจ้าให้เป็น 'ยามฝ่ายจิตวิญญาณ' ให้กับผู้คนที่ถูกเนรเทศและเตือนผู้คนที่ไม่เชื่อฟัง เขาจะต้องยืนอยู่บนยอดกำแพงเมืองฝ่ายจิตวิญญาณ และพูดถึงการพิพากษาของพระเจ้าที่ใกล้เข้ามาและผลที่พวกเขาจะได้รับจากการการกระทำของเขา มีใครอยากสมัครทำหน้าที่นี้บ้าง? คงจะมีผลดีต่อชื่อเสียงของเขา ถ้าเขาไม่พูดอะไรเลย และปล่อยให้ความยุติธรรมและการพิพากษาของพระเจ้ามาสู่ผู้คน ถ้าทำอย่างนั้นก็หมือนยามที่ไม่อยากให้คนอารมณ์เสียด้วยการปลุกให้ตื่นกลางดึก จึงปล่อยให้คนหลับและถูกฆ่าตาย

ถ้าคนยามห่วงใยผู้คนในเมืองนี้สักแค่เพียงเล็กน้อย ยามก็จะต้อง “พูดออกมา” เมื่ออันตรายใกล้เข้ามา แม้ว่านั่นจะหมายถึงการส่งสารที่ไม่มีใครอยากได้ยินหรือเป็นสารที่อาจจะดูเหมือนไปรบกวนชีวิตของคนอื่นก็ตาม

ทำให้ผมนึ้ถึงถ้อยคำสุดท้ายที่พระเยซูได้พูดเมื่อพระองค์อยู่บนโลกนี้

“ท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก” (กิจการ 1:8)

“จงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา” (มัทธิว 28:29,20)

“พระบิดาทรงใช้เรามาอย่างไร เราก็ใช้พวกท่านไปอย่างนั้น” (ยอห์น 20:21)

พระเจ้าได้แต่งตั้งคริสตจักรของพระองค์ให้เป็นคนยามในโลกใบนี้ และมอบหมายงานให้กับเราที่จะประกาศข่าวประเสริฐเพื่อทุกคนจะได้รับความรอด

อย่างแรกคือ เตือนผู้คนถึงความร้ายแรงของบาปและผลที่จะเกิดขึ้น ตามพระคัมภีร์ นี่ไม่ใช่ข้อความที่เป็นที่ยิยมในสังคมปัจจุบัน แต่มันจำเป็นอย่างมากที่จะประกาศเพื่อให้ผู้คนเข้าใจสถานะที่แท้จริงของเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าพระเจ้า จากนั้น ให้แบ่งปันข่าวดีเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์ให้พวกเขาฟัง เรื่องที่ พระเจ้าทรงมีความอดทนนานกับเรา พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย แต่ประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่ (2 เปโตร 3:8-9) และที่ว่าพระเจ้าทรงรักโลก พระองค์ได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ (ยอห์น 3:16) และโดยผ่านการเสียสละของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เราได้รับการชำระให้สะอาดจากความบาปของเราและพระองค์มอบหัวใจใหม่ให้กับเรา และให้พระวิญญาณบริสุทธิ์กับเรา เพื่อเป็นการยืนยันว่าพระองค์ทรงอยู่ในเรา

นี่คือข้อความแห่งความหวังที่โลกเรากำลังต้องการอย่างแท้จริง

และแน่นอนว่าจะมีบางคนที่ไม่สนใจฟัง ก็เหมือนกับในช่วงเวลาของเอเสเคียล แต่ว่าท้ายที่สุดแล้วมันไม่ใช่ความรับผิดชอบของเราที่จะพยายามที่จะไปเปลี่ยนหัวใจของคนอื่น งานของเอเสเคียลคือ การเดินอย่างใกล้ชิดกับพระเจ้าเพื่อเขาจะได้ยินพระองค์อย่างชัดเจนเมื่อพระเจ้าพูด และหลังจากนั้นเขาก็พูดสิ่งนั้นออกมาด้วยพลังและปัญญาแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า

โรม 10:13-15 บอกว่า

13 เพราะว่า ผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด 14แต่พวกที่ยังไม่เชื่อในพระองค์ จะทูลขอต่อพระองค์ได้อย่างไร? และพวกที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์ จะเชื่อในพระองค์ได้อย่างไร? และเมื่อไม่มีผู้ประกาศ เขาจะได้ยินถึงพระองค์อย่างไร? 15และถ้าไม่มีใครใช้พวกเขาไป เขาจะไปประกาศได้อย่างไร? ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริงๆ หนอ”

เท้าของมนุษย์ก็ไม่ใช่ส่วนที่คนจะมองดูว่าเป็นสิ่งสวยงาม แต่เท้าของผู้นำข่าวดีได้ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่สวยงาม ไม่ใช่สวยจากจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่เพราะข่าวดีที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนที่พวกเขานำมาให้นั่นเอง

ลองคิดภาพดูว่า มีเหล่าผู้สื่อสารวิ่งข้ามภูเขาเพื่อจะประกาศข่าวประเสริฐให้กับผู้คน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ เห็นได้โดยทั่วไปในสมัยของพระคัมภีร์ ในช่วงเวลานั้นไม่มีข้อความทางโทรศัพท์หรือ Messenger ใน Facebook แต่ เวลานั้นมีผู้สื่อสารจริงๆ ที่จะวิ่งจากเมืองหนึ่งไปยังเมืองหนึ่ง เพื่อนำข่าวสารสำคัญไปประกาศ เช่น ข่าวเกี่ยวกับชัยชนะทางทหาร หรือการถูกโจมตี หรือเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นที่จำเป็นจะต้องให้ผู้คนได้รับรู้ทันท่วงที และคำอธิบายของอิสยาห์ที่ว่าเท้าของผู้ส่งสารนั้นสวยงาม (นั่นคือสิ่งที่เปาโลใช้ในภาษาโรม) คือภาพของข้อความแห่งความรอดที่น่ายินดีและข้อความที่เปลี่ยนแปลงชีวิตซึ่งพระเจ้าจะนำมาสู่ประชากรของพระองค์ในไม่ช้า และที่พวกเขาจะได้มีเสรีภาพจากการพันธนาการฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเขา โดยผ่านทางการเสด็จกลับมาของพระเมสสิยาห์ คือพระเยซูคริสต์

และขอบคุณพระเจ้า พระเยซูได้มาแล้ว พระเยซูได้ปลดปล่อยเราจากอำนาจของบาปและความตาย และด้วยพระเมตตาของพระองค์ได้มอบมรดกที่ไม่เสื่อมสลาย ไม่มีมลทิน และไม่ร่วงโรยรอเราอยู่ในสวรรค์ แต่จนกว่าพระคริสต์เสด็จกลับมา เปาโลถามว่าพวกเขาจะได้ยิน ได้เชื่อ และประสบกับเสรีภาพแบบเดียวกันในพระเยซูได้อย่างไร นอกจากว่าจะมีคนไปบอกพวกเขา

นี่เป็นเวลาที่เราคริสตจักรวันไลท์ที่จะตื่นตัวขึ้นและเริ่มทำหน้าที่คนยามของเรา ด้วยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราต้องเข้าประจำการ ป่าวประกาศถ้อยคำแห่งความรอดที่เป็นความหวังให้กับคนทั้งโลก และทำหน้าที่ที่พิเศษที่พระเจ้ามอบให้กับเราด้วยความรักและความใส่ใจ โดยคำนึงเสมอว่าเรามีเวลาที่จำกัดเพราะเรากำลังรอคอยการกลับมาของพระเยซู

  • พระเจ้ากำลังเชิญคุณให้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน OLC ในการ "พูดย่างอย่างคนเฝ้ายาม”?

  • พระเจ้ากำลังเน้นถึงใครบางคนโดยเฉพาะเพื่อให้คุณอธิษฐานและพูดคุยด้วยหรือไม่?

Fast Fall 2023 Day 2 | การอดอาหาร ฤดูใบไม้ร่วง 2566 วันที่ 2

Waiting like a Watchman

Good morning! As we move to the second day of the fast, our focus shifts to “waiting like a watchman.” I would imagine a night watchman had a lot of things to be concerned about while on duty. Not only were they solely responsible for the safety and well-being of the city they were keeping watch of, but they had to ensure that they would be able to stay awake and alert all the hours they were on their shift. To make matters worse, there were no energy drinks or espresso shots back then! How did they do it?! There probably was the temptation at times to lean up against a post, let their eyelids slowly droop, and take a quick 10-minute power nap. But doing so would put the city at tremendous risk!

One of the greatest sights for a night watchman was the first sight of dawn. The morning signified many things to the watchman. First, it meant the end of his work. No longer did he need to be vigilant and hyperaware, but rather He would finally be able to let his guard down and rest. Secondly, the morning meant that there was a much less of a chance for them to be attacked, as most attacks happened under cover of darkness. You can almost sense the expectancy and relief coming over the watchman as the first beam of the sun’s rays came up from the horizon. “Yes, finally!”

Psalm 130 is a very famous passage of scripture that speaks of waiting and hoping for the Lord with a similar anticipation. The psalmist, deeply distressed at the afflictions and sins of the world, longs for the day when God would come to redeem his people and set everything right. Verse 5 and 6 say:

5 I wait for the LORD, my soul waits,
and in his word I hope;
6 my soul waits for the Lord
more than watchmen for the morning,
more than watchmen for the morning.

As Christians, we have absolute certainty that there will come a day where Christ will return again. He will make right every wrong. He will restore all that was lost. All sin, all pain, all death, all sorrow, gone in an instant! He will make everything new and we will live with Him forever! This is the hope that Christians throughout church history have held on to as they’ve prayed for deliverance from things like poverty, war, death, destruction, and persecution. That’s why in Titus 2:13, Paul describes Jesus’ second coming as the church’s “blessed hope.”

But as Pastor Dan spoke on a few weeks ago, Christianity in the present day finds many believers enjoying life in relative comfort. We can so easily grow accustomed to living in the darkness, letting our guards down, becoming distracted on the temporal, and as a result, fall asleep spiritually. It might sound dramatic, but it feels like there are Christians and churches who would see Jesus’s return more as an inconvenience and interruption to their lives, long-term goals, and ministry rather than the ultimate hope and reason for their existence here on Earth.

We have been called as Christians, however, to live lives that are alert and expectant for our Lord’s return. Matthew 24 and 25 have many parables on what it means to live in expectation of the Lord’s return. If you have time, I encourage you to read and pray through them. 1 Thessalonians 5 also speaks of Christ’s return and in light of it, Paul implores us to live this way: Verse 4 says:

“4 But you are not in darkness, brothers, for that day to surprise you like a thief. 5 For you are all children of light, children of the day. We are not of the night or of the darkness. 6 So then let us not sleep, as others do, but let us keep awake and be sober.”

As Christians, God has made us children of light and of the day. The time when we were of the night and in darkness is over. Therefore, as children of light, the Lord’s return shouldn’t surprise us or catch us off guard. Rather, we should be ready for the return of Jesus Christ by keeping awake and being sober. You see, when you are asleep, we are ignorant to the things around us. Our guard is down, and we are prone to attack. We are also inactive and unproductive. But God desires to awaken us again to the hope of Christ's return! We cannot predict exactly when He will return, but we can be as sure of it as the sun rises each morning! This will be a time where, like the night watchman, we are able to finally rest from our work and find complete safety from sin, danger, and suffering. But until that time, God’s desire is to awaken us to the reality of who He is and empower us to live lives that are faithful, purposeful, fully expectant, and prepared for His return. My prayer for us this morning is that we would grow in our desire for Jesus's presence both now and physically someday when we will see Him face to face. Until that time, through the power of the Holy Spirit, let’s pray that our actions, words, and lives reflect our identity as children of the day, as we watch and wait patiently for our Lord’s return.

“My soul waits for the Lord, more than watchmen for the morning, more than watchmen for the morning.” See you tonight!

Take some time to wait and listen to God as you reflect on these questions:

  • Why do I want Jesus to come back? What hope do I have in His return?

  • How does having a certainty and expectancy of Christ’s return change the way I view things like suffering and hardships? How does it affect what we prioritize and the way we live?

  • What are ways God is inviting and desiring to empower you to live in light of his return?

เฝ้ารอเหมือนยามรักษาการ

สวัสดีตอนเช้า! เราก็ได้เข้าสู่วันที่สองของการอดอาหาร เราจะมุ้งเน้นไปที่ "การเฝ้ารอ"เหมือนคนยาม รักษาการ” ผมจินตนาการว่ายามรักษาการในกลางคืนมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องกังวลในขนะปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องรับผิดชอบต่อความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของเมืองที่พวกเขาเฝ้าดูอยู่เท่านั้น แต่พวกเขาต้องแน่ใจว่าพวกเขาจะไม่หลับและตื่นตัวตลอดเวลาที่พวกเขาอยู่ในหน้าที่ และที่แย่ไปกว่านั้น ตอนนั้นไม่มีเครื่องดื่มชูกำลังหรือกาแฟเอสเพรสโซ่! พวกเขาทำได้อย่างไร! ก็คงมีช่วงเวลาที่มีสิ่งล่อลวงให้ รู้สึกอยากพิงเสา ปล่อยให้เปลือกตาค่อยๆปิดลงมาช้าๆล้มตัวลงนอนและงีบหลับอย่างรวดเร็วสัก 10 นาที แต่การทำเช่นนั้นจะทำให้เมืองอยู่ในความเสี่ยงมหาศาล!

หนึ่งสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดสำหรับยามรักษาการกลางคืน คือสัญญาณแรกแรกของรุ่งอรุณ ตอนเช้ามี ความหมายหลายอย่างแก่ยามรักษาการ ประการแรกหมายถึงการสิ้นสุดงานของเขา เขาไม่จำเป็นต้อง ระมัดระวังและตื่นตัวอีกต่อไป แต่หลังจากนั้นเขาก็จะสามารถลดความระมัดระวังและได้พักผ่อน ประการที่ สอง ตอนเช้าหมายความว่ามีโอกาสน้อยมากที่พวกเขาจะถูกโจมตี เนื่องจากการโจมตีส่วนใหญ่เกิดขึ้น ภายใต้ความมืด คุณแทบจะสัมผัสได้ถึงการคาดหวังและความโล่งใจของยามรักษาการเมื่อแสงแรกจากดวง อาทิตย์ส่องขึ้นมาจากขอบฟ้า “ใช่ ในที่สุด!”

สดุดี 130 เป็นข้อพระคัมภีร์ที่มีชื่อเสียงมาก ซึ่งพูดถึงการรอคอยและความหวังต่อพระเจ้าด้วยความคาดหวัง ที่คล้ายกัน ผู้แต่งสดุดีผู้เป็นทุกข์อย่างยิ่งต่อความทุกข์ยากและบาปของโลก รอคอยวันที่พระเจ้าจะเสด็จมาไถ่ ชนชาติของพระองค์และจัดการทุกอย่างถูกต้อง ข้อ 5 และ 6 พูดว่า:

5ข้าพเจ้าคอยพระยาห์เวห์ จิตใจของข้าพเจ้าคอยอยู่
และข้าพเจ้าหวังในพระวจนะของพระองค์
6จิตใจของข้าพเจ้าคอยองค์เจ้านาย
ยิ่งกว่าคนยามคอยเวลารุ่งเช้า
ยิ่งกว่าคนยามคอยเวลารุ่งเช้า

ในฐานะคริสต์เตียน เรามีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าวันหนึ่งพระคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้ง พระองค์จะทรง แก้ไขความผิดทุกประการ พระองค์จะทรงฟื้นฟูทุกสิ่งที่สูญหายไป ทุกความบาป ความเจ็บปวด ความตาย ความโศกเศร้า หายไปในพริบตา! พระองค์จะสร้างทุกสิ่งใหม่และเราจะอยู่กับพระองค์ตลอดไป! นี่คือ ความหวังที่คริสต์เตียนตลอดทั้งประวัติศาสตร์คริสตจักรยึดถือในขณะที่พวกเขาอธิษฐานเพื่อการปลดปล่อย จากสิ่งต่างๆ เช่น ความยากจน สงคราม ความตาย การทาลายล้าง และการข่มเหง นั่นคือเหตุผลที่ในทิตัส 2:13 เปาโลบรรยายถึงการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูว่าเป็น “ความหวังอันเป็นสุข” ของคริสตจักร

แต่เหมือนที่อาจารย์แดนพูดเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน คริสต์เตียนในปัจจุบันพบว่าผู้เชื่อจำนวนมากสนุกสนาน เพลิดเพลินกับชีวิตที่สะดวกสะบาย เราคุ้นเคยและเติบโตกับการใช้ชีวิตในความมืดได้อย่างง่ายดาย ลดการ ระมัดระวังของเราลง ถูกรบกวนจากทางโลกและผลที่เกิด ก็คือเราเผลอหลับไปทางฝ่ายวิญญาณ อาจฟังดูดำ ราม่า แต่รู้สึกเหมือนมีคริสต์เตียนและคริสตจักรที่มองว่าการเสด็จกลับมาของพระเยซูเป็นความไม่สะดวก และขัดขวางชีวิตของพวกเขา เป้าหมายระยะยาว และพันธกิจ มากกว่าที่จะเป็นความหวังสูงสุดและเหตุผล ของการดำรงอยู่บนโลกนี้

อย่างไรก็ตาม เราถูกเรียกในฐานะคริสต์เตียนให้ดำเนินชีวิตที่ตื่นตัวและรอคอยการเสด็จกลับมาของพระเยซู มัทธิว 24 และ 25 มีอุปมามากมายเกี่ยวกับความหมายของการดำเนินชีวิตโดยคาดหวังการเสด็จกลับมาของ พระเจ้า หากคุณมีเวลา ผมขอแนะนาให้คุณอ่านและอธิษฐานผ่านสิ่งเหล่านี้ 1 เธสะโลนิกา 5 พูดถึงการเสด็จ กลับมาของพระคริสต์ด้วย และเมื่อคำนึงถึงเรื่องนี้ เปาโลวิงวอนให้เราดำเนินชีวิตเช่นนี้ ข้อ 4 กล่าวว่า:

4 แต่พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่ได้อยู่ในความมืดเพื่อว่าวันนั้นจะไม่ทาให้ท่านประหลาดใจเหมือนขโมย มา 5 พวกท่านล้วนเป็นลูกของความสว่าง เป็นลูกของกลางวัน เราไม่ได้เป็นของกลางคืนหรือของความ มืด 6 ฉะนั้นเราอย่าเหมือนคนอื่นๆ ที่หลับใหล แต่จงตื่นตัวและควบคุมตนเอง

ในฐานะคริสต์เตียน พระเจ้าได้ทรงสร้างเราให้เป็นลูกของความสว่างและลูกของกลางวัน เวลาที่เราอยู่ใน ยามกลางคืนและความมืดสิ้นสุดลง ดังนั้นในฐานะลูกของความสว่าง การกลับมาของพระเจ้าไม่ควรทำให้ เราประหลาดใจหรือทำให้เราไม่ทันระมัดระวัง แต่เราควรเตรียมพร้อมสำหรับการเสด็จกลับมาของพระเยซู คริสต์โดยตื่นตัวและมีสติ คุณเห็นไหม ว่าเมื่อคุณหลับ เราก็เพิกเฉยต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวเรา เราไม่ระมัดระวัง และเรามีแนวโน้มที่จะถูกโจมตี รวมทั้งเราเฉื่อยชาและไม่มีประสิทธิภาพ แต่พระเจ้าปรารถนาที่จะปลุกเรา ให้ตื่นขึ้นอีกครั้งเพื่อความหวังในการเสด็จกลับมาของพระคริสต์! เราไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแน่ชัดว่า พระองค์จะเสด็จกลับมาเมื่อใด แต่เรามั่นใจได้เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นในทุกเช้า! จะเป็นเวลาที่ในที่สุดเราก็ สามารถพักผ่อนจากงานของเราและพบความปลอดภัยจากบาป อันตราย และความทุกข์ทรมานได้ เช่นเดียวกับยามรักษาการกลางคืน แต่จนกว่าจะถึงเวลานั้น ความปรารถนาของพระเจ้าคือการปลุกเราให้ตื่น ให้รู้ถึงความเป็นจริงว่าพระองค์ทรงเป็นใคร และเสริมพลังให้เราดำเนินชีวิตที่สัตย์ซื่อ มีเป้าหมาย ความ คาดหวังอย่างเต็มที่ และเตรียมพร้อมสาหรับการเสด็จกลับมาของพระองค์ คำ าอธิษฐานของผมสาหรับเราใน เช้าวันนี้ ขอให้เราปรารถนาการสถิตของพระเยซูมากขึ้นในเวลานี้ และทางกายเมื่อสักวันหนึ่งที่เราจะได้ เผชิญหน้ากับพระองค์ จนกว่าจะถึงเวลานั้น เราขออธิษฐานโดยอาศัยพลังอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อให้การกระทำ คำพูด และชีวิตของเราสะท้อนถึงตัวตนของเราในฐานะลูกๆของวัน ขณะที่เราเฝ้าดูและ รอคอยการเสด็จกลับมาของพระเจ้าอย่างอดทน

“จิตวิญญาณของข้าพเจ้ารอคอยพระเจ้า มากกว่าคนเฝ้ายามในตอนเช้า มากกว่าคนเฝ้ายามในตอนเช้า” เจอ กันคืนนี้!

ใช้เวลาในการรอคอยและฟังพระเจ้าเมื่อคุณใคร่ครวญคาถามเหล่านี้:

  • ทำไมฉันถึงอยากให้พระเยซูกลับมา? ฉันมีความหวังอะไรในการเสด็จกลับมาของพระองค์?

  • การมีความคาดหวังที่แน่นอนถึงการเสด็จกลับมาของพระคริสต์เปลี่ยนวิธีที่ฉันมองสิ่งต่างๆ เช่น ความทุกข์ ทรมานและความยากลาบากอย่างไร มันส่งผลต่อสิ่งที่เราจัดลาดับความสาคัญและวิถีชีวิตของเราอย่างไร?

  • พระเจ้าทรงเชิญชวนและปรารถนาที่จะมอบอานาจให้คุณดาเนินชีวิตโดยคานึงถึงการเสด็จกลับมาของ พระองค์ด้วยวิธีใดบ้าง?

Fast Fall 2023 Day 1 | การอดอาหาร ฤดูใบไม้ร่วง 2566 วันที่ 1

Seeking like a Watchman

Good morning and welcome to the first day of our fast. I am very excited and expectant of what God will say and do over the next three days both individually, and during our corporate times of gatherings. If this is your first time fasting, the reason for fasting is not to earn the approval of God or to test our tenacity and endurance. As we fast, the physical hunger we feel intensifies our longings for Jesus. In our hunger, we recognize more clearly our dependence on God and our hunger and thirst for more of His presence. Also, fasting helps remove distractions and allows us to focus on Jesus. The time we don’t spend eating is more time we can spend in silence, prayer, and listening to God. I would encourage you to utilize this time to disengage from normal television and social media rhythms, and to spend time seeking the Lord in what He may say and do.

Our fast for the next 3 days focuses around the idea of “a watchman.” As we learned through our study on Ezekiel, a physical watchman was an extremely important person in biblical times. It was the job of the watchman to position themself high on the city wall or on a tower, and to watch carefully to see if an enemy was approaching. The watchman’s primary job was to be alert and to blow their trumpet of warning if there was impending danger. Ezekiel was appointed by God (in Ezekiel 3 and 33) to be a spiritual “watchman” to his people and to communicate God’s message of warning and repentance to them. We will talk more about that type of watchman on Day 3 and what that call looks like for us in our day and age.

There were also watchmen, however, that were stationed in the city, behind the walls. We see these types of watchmen mentioned in Song of Solomon 3:3: “The watchmen found me as they went about in the city.”

Their job was to patrol the streets and protect the city and its inhabitants from violence. They also were tasked to guard against and seek out enemies who may have breached the wall and snuck in. The proper identification and removal of those people was critical to the safety, security, and well-being of the city.

Over the past several weeks, we, as an eldership, have seen a marked increase in spiritual attacks on our church. Whether through sickness, nightmares, insomnia, loss of jobs, disunity, or even manifestations, we have been reminded yet again that “we do not wrestle against flesh and blood, but against the rulers, against the authorities, against the cosmic powers over this present darkness, against the spiritual forces of evil in the heavenly places (Ephesians 6:12).” We absolutely DO NOT fear because our God is greater, He is our light and salvation, and Jesus has won the victory! Still, there is a consistent call in the Bible for us to be alert, sober minded, armed, and on guard. And as God’s watchmen, before we stand on the towers and fixate our eyes on the dangers and battles that lie over the horizon, we need to first “patrol the streets of our own heart” and seek out ways in which danger and the enemy have crept into our lives.

As Christians, we know that Christ is our Lord and Master. He is the One worthy of our worship and affection. But there are times in which we allow other things to sneak in behind the walls and make their home in our heart. We can be fooled to think that somehow Jesus and these other things can co-exist with one another. We cannot have it both ways though. The Bible says, “no one can serve two masters. Either you will hate the one and love the other, or you will be devoted to the one and despise the other (Matthew 6:24).” If we choose idols, we by default reject God, just as choosing God means rejecting idols. Therefore, through the power of the Holy Spirit, we must seek out, identify, and remove the idols in our hearts and replace them with our love and worship of Christ. Always remember that we will never find true fulfillment apart from worshiping Jesus.

  • Take some time to read Psalm 139 a few times and pray through verse 23 & 24.

  • As the kindness of the Holy Spirit reveals idols/distractions/sin to you, repent. Repentance is a gift to us. It’s God’s way of inviting us not to hide from our sin, but to come to Him in our mess acknowledging only He can make us clean.

  • Then ask that God would transform you, and that all of our affections and worship would be toward Him alone. If you need some guidance, Psalm 51 has a beautiful way of portraying these last two points.

เฝ้าดูเหมือนยามรักษาการ

อรุณสวัสดิครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่วันแรกของการอดอาหารอธิษฐาน ผมรู้สึกตืนเต้นมากและ คาดหวังเป็นอย่างยิงว่าพระเจ้าจะพูดและทําอะไรบ้างในการอดอาหารอธิษฐานในครังนี ไม่ ว่าจะเป็นการอดอาหารโดยส่วนตัวกับแต่ละคนหรือในช่วงเวลาทีเรารวมตัวกัน ถ้าหากว่านี เป็นครังแรกทีคุณอดอาหารอธิษฐาน อยากให้คุณเข้าใจว่า การอดอาหารอธิษฐานนีไม่ใช่ ทําเพือเราจะได้รับการยอมรับจากพระเจ้าหรือเพือทดสอบการยืนหยัดและความทรหด อดทนของเรา เมือเราอดอาหาร ความหิวทางร่างกายของเรายิงเพิมความกระหายของเราที มีต่อพระเยซูเพิมมากยิงขึน เราตระหนักได้ชัดเจนยิงขึนถึงการพึงพาพระเจ้า และความหิว กระหายทีจะได้รับการสถิตอยู่ของพระองค์มากขึน การอดอาหารอธิษฐานนียังช่วยขจัดสิงที รบกวนในจิตใจของเรา ช่วยให้เราจดจ้องไปทีพระเยซูได้ เราสามารถใช้เวลาทีเราไม่ได้ รับประทานอาหาร ในการสงบเงียบ อธิษฐานและฟังสิงทีพระเจ้าพูดได้ ผมอยากจะหนุนใจ พีน้องให้ใช้เวลาในการอดอาหารนีโดยการเลิกสนใจโทรทัศน์และโซเชียลมีเดียต่างๆ แต่ ให้ใช้เวลาในการแสวงหาพระเจ้าในสิงทีพระองค์จะตรัสและทําในชีวิตของเราแทน

ในสามวันนี เราจะมาใคร่ครวญด้วยกันถึงเรืองของการเฝ้ารักษายาม จากทีเราได้ เรียนด้วยกันในพระธรรมเอเสเคียล คนยามในสมัยพระคัมภีร์นันเป็นหน้าทีทีสําคัญมากๆ เป็น งานทีพวกเขาต้องอยู่บนกําแพงเมือง หรือบนหอคอยคอยเฝ้ารักษาการ และระมัดระวัง สอดส่องดูว่ามีศัตรูแอบเข้ามาโจมตีหรือไม่ หน้าทีหลักของคนยามคือต้องเฝ้าระวังด้วย ความตืนตัวอยู่เสมอและต้องเป่าแตรเตือนหากมีภัยร้ายเข้ามาใกล้พวกเขา เอเสเคียลได้รับ การเจิมตังจากพระเจ้า(ในพระธรรมเอเสเคียลบทที 3 และ 33) ทีจะเป็นยามเฝ้ารักษาการ ฝ่ายจิตวิญญาณให้กับประชากรของพระองค์ และสือสาร การตักเตือนจากพระเจ้าและการ เรียกกลับใจให้กับคนเหล่านันด้วย เราจะพูดคุยเพิมเติมเกียวกับประเภทของยามเฝ้า รักษาการนันในการอดอาหารวันที 3 และมาดูกันว่าการเป็นยามรักษาการในสมัยของเรานัน มันหมายความว่าอย่างไร

ยังมียามรักษาการทีประจําอยู่ในเมืองและบางส่วนประจําด้านนอกกําแพงอีกด้วย เรา เห็นได้ว่ามีคนยามหลากหลายประเภทจากพระธรรมเพลงซาโลมอน 3:3 “คนเฝ้ายามทีประตูเมืองพบฉัน เวลาทีพวกเขาตรวจตราเมือง” งานของพวกเขาคือการ ลาดตระเวนตามถนนและปกป้องเมืองและผู้อยู่อาศัยจากความรุนแรง พวกเขายังได้รับ มอบหมายให้ป้องกันและค้นหาศัตรูทีอาจเจาะกําแพงและแอบเข้ามา การหาว่าใครคือศัตรูที แฝงเข้ามาและกําจัดคนเหล่านันเป็นสิงทีสําคัญมากต่อความปลอดภัย ระบบความปลอดภัย และความเป็นอยู่ทีดีของเมือง

ในช่วงหลายสัปดาห์ทีผ่านมา เราในฐานะผู้อาวุโส ได้เห็นการโจมตีทางจิตวิญญาณต่อคริ สตจักรของเราเพิมขึนอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะด้วยความเจ็บป่วย ฝันร้าย นอนไม่หลับ ตกงาน แตกแยก หรือแม้แต่แสดงอาการผีเข้า เราได้รับการเตือนอีกครังว่า “เพราะเราไม่ได้ ต่อสู้กับเนือหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีทีครอบครอง พวกภูตผีทีมีอํานาจ พวกภูตผี ทีครองพิภพในยุคมืดนี ต่อสู้กับพวกวิญญาณชัวในสวรรคสถาน(เอเฟซัส 6:12)” เราไม่ จําเป็นต้องกลัวเพราะว่าพระเจ้าของเรายิงใหญ่กว่าสิงเหล่านัน พระองค์ทรงเป็นแสงสว่าง และความรอดของเรา และพระเยซูทรงมีชัยเหนือสิงทังปวงแล้ว ถึงอย่างไรก็ตามในพระ คัมภีร์เรียกให้เราตืนตัวอยู่เสมอ ระวังระไว และสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้า และในฐานะคน เฝ้ายามของพระเจ้า ก่อนทีเราจะยืนบนหอคอยและเพ่งความสนใจไปทีอันตรายและการสู้รบ ทีมีอยู่ เราต้อง "ลาดตระเวนตามถนนในหัวใจของเรา”เองก่อน และดูว่าศัตรูใช้แผนไหนและ มีภัยอะไรที เข้ามาในชีวิตของเรา

ในฐานะคริสเตียน เรารู้ว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าและนายของเรา พระองค์ทรงเป็นผู้ สมควรแก่การนมัสการและความรักของเรา แต่มีหลายครังทีเรายอมให้สิงอืนแอบเข้าไปหลัง กําแพงและสร้างบ้านไว้ในใจเรา เรากําลังถูกหลอกถ้าเราคิดว่าพระเยซูและสิงอืนๆ เหล่านี สามารถอยู่ร่วมกันได้ เราไม่สามารถมีทังสองอยู่ร่วมกันได้ พระคัมภีร์บอกว่า “ไม่มีใครเป็นข้า สองเจ้า บ่าวสองนายได้ เพราะว่าเขาจะชังนายข้างหนึง และรักนายอีกข้างหนึง หรือเขาจะ นับถือนายฝ่ายหนึง และดูหมินนายอีกฝ่ายหนึง ท่านทังหลายจะรับใช้พระเจ้าและเงินทอง พร้อมกันไม่ได้” (มัทธิว 6:24) ถ้าเราเลือกทีจะมีรูปเคารพ เท่ากับเราปฏิเสธพระเจ้า และถ้า เราเลือกพระเจ้า เท่ากับว่าเราไม่สามารถมีรูปเคารพได้ ดังนันโดยอํานาจของพระวิญญาณ บริสุทธิ เราต้องหาให้เจอว่าอะไรคือรูปเคารพในใจและกําจัดรูปเคารพนันออกไป และแทนที สิงเหล่านันด้วยความรักและการนมัสการพระเยซูคริสต์ ขอให้เราจําไว้เสมอว่า เราไม่ สามารถได้รับการเติมเต็มอย่างแท้จริง หากขาดจากการนมัสการพระเยซู

  • ขอให้เราใช้เวลาในการอ่านสดุดี 139 หลายๆรอบ และ อธิษฐานตามข้อ 23 และ 24 ด้วยกัน

  • โดยพระวิญญาณบริสุทธิเผยให้เห็นรูปเคารพ/สิงรบกวนใจ/ความบาปให้คุณเห็น จง กลับใจใหม่ การกลับใจเป็นของขวัญทีพระเจ้าให้กับเรา นีเป็นวิธีของพระเจ้าในการ เชิญชวนเราไม่ให้ซ่อนตัวจากบาปของเรา แต่ให้มาหาพระองค์ท่ามกลางความ วุ่นวายของเรา โดยยอมรับว่ามีเพียงพระองค์เท่านันทีสามารถทําให้เราสะอาดได้

  • หลังจากนัน ขอทีพระเจ้าจะช่วยเปลียนจิตใจของเราใหม่ ขอให้การแสดงความรัก ความสนใจ การนมัสการของเราจะมีต่อพระองค์แต่เพียงผู้เดียว หากว่าคุณต้องการ คําแนะนํา สามารถอ่านได้ในสดุดี 51 ในนันจะมีวิธีทีสวยงามทีจะช่วยให้คําแนะนํากับ เราได้

Fast Day 3 | อดอาหารวันที่ 3

Fast - Spring 2023 - Day 3

On our final day of the fast, our focus will turn to the importance of prayer when it comes to engaging in spiritual warfare.  

We see in Ephesians 6, that prayer is at the heart of spiritual warfare. After listing the different components of the armor of God that we are to put on, Paul commands believers in verses 18-20 by saying:  

“praying at all times in the Spirit, with all prayer and supplication. To that end, keep alert with all perseverance, making supplication for all the saints,  and also for me, that words may be given to me in opening my mouth boldly to proclaim the mystery of the gospel,  for which I am an ambassador in chains, that I may declare it boldly, as I ought to speak.” (Ephesians 6:18-20)

For many, it is easy to see prayer as an optional add-on to our lives rather than a necessity.  Something that we might do if we have extra time in the day or a ritual before eating a meal or going to sleep. But prayer is meant to be as important and vital for a Christian as breathing and oxygen is necessary for one's survival. This is especially true when it comes to engaging in spiritual warfare.  

Prayer is our fiercest weapon against the enemy and the evil in this world.  It is in prayer that we are able to partner with God in thwarting the enemy’s plans and goals. It is in prayer that we are empowered to resist and fight back against the enemy and his schemes in our life. It is in prayer that we communicate with our Heavenly Father and receive instructions and directions from Him of how to fight and proceed. 

There are 4 ways Paul calls us to fight in regards to prayer.  I will talk a bit more in-depth next Sunday, when I preach on this passage in our “Growing In Christ” series. 

The first instruction Paul has for us is to “pray at ALL times in the Spirit.” This is similar to what Paul wrote in 1 Thessalonians 5:17 that we should “pray without ceasing” or on every occasion. This does not mean we walk around muttering all day long or are on our knees praying 24 hours a day. But whatever situation we find ourselves in, (such as being tempted, or in need of wisdom, or feeling discouraged) our first response should always be to pray.  It’s in those moments that we ask the Holy Spirit to guide and direct our thoughts and prayers, because sometimes we do not know how or what to pray. Pause, and take a moment to engage the Father in prayer. Allow the Holy Spirit to speak to you and ask for His empowerment and leading to pray in every situation that you encounter throughout your day today.  

Paul’s second instruction is to pray with “ALL prayer and supplication.” There are many ways that we as believers should pray.  Whether it is praying out loud, silently, on our knees, with hands lifted up, with other people, interceding on behalf of someone else, giving thanks, confessing our sins… you get the idea. We are to pray at all times, with ALL TYPES of prayer and supplication. There is no rigid formula when it comes to prayer. Our Father desires us to pray boldly to Him, knowing there isn’t anything He does not want to hear. Take a moment to pause again. What has God put on your heart to pray for? Pray those things now to Him, in a posture that expresses your need and desire for Him.   

Paul’s third instruction for prayer is to “keep alert with ALL perseverance.” One of the words Jesus used was the word ‘watch’ in combination with prayer. We are to “watch and pray.” Jesus used this term with the disciples right before He was about to be arrested and crucified. Instead, the disciples fell asleep.  So easily we can have that same tendency to sleep and let our guard down when we should be “watching and praying.” We are in a war! And because of that, there is a call for us to be alert, to be vigilant, to be on guard!  Like soldiers on watch, we should be on the lookout for potential threats to ourselves or others and cry out to God on their behalf. But also, spiritual warfare prayer requires perseverance. It is a day in, day out battle that we cannot grow frustrated or discouraged in and give up. Do we give up too easily in our prayer life when we don’t see answers? Are we relying on our own strength? What are the things that you have given up praying for that God has called you to start praying for again?  

Finally, Paul instructs us to pray “making supplication for ALL the saints.”  I find that it is far easier to pray for myself than others. God help me with MY sickness, MY job, MY finances, MY marriage, etc.  And while it is important to lift up our specific needs to God, a Christian is not to think only of their own conflict and arming themselves. Rather we are called to stand with our brothers and sisters in Christ and fight for one another through prayer. As we hear about people and their struggles and needs, or opportunities to preach the Gospel, as with Paul, we are to cry out to God on their behalf, praying for victory, for wisdom, for guidance, for provision, and for joy!  Take a moment and allow the Holy Spirit to highlight 2-3 people who are in our community, and pray for them right now. 

I look forward to gathering and feasting together tonight, and continuing to fight alongside each of you.   See you all at 5pm!

การอดอาหารอธิษฐาน - ฤดูใบไม้ผลิ 2023 - วันที่ 3

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการอดอาหารอธิฐาน เราจะมุ่งเน้นไปถึงความสำคัญของการอธิษฐานเมื่อมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามฝ่ายจิตวิญญาณ

เราเห็นได้ว่าในเอเฟซัส บทที่ 6 คำอธิษฐานนั้นคือหัวใจของการทำสงครามฝ่ายจิตวิญญาณ หลังจากอาจารย์เปาโลได้พูดถึงความสำคัญของส่วนต่างๆ ในชุดยุทธภัณฑ์ของพระเจ้า เปาโลได้สั่ง ผู้เชื่อในข้อ 18-20 ว่า

“จง​อธิษฐาน​เสมอ​ด้วย​การ​นำ​ของ​พระ​วิญญาณ ด้วย​การ​อธิษฐาน​และ​วิงวอน​ขอ​ใน​ทุก​เรื่อง จง​กระตือรือร้น​และ​หมั่น​วิงวอน​ขอ​เพื่อ​ผู้​บริสุทธิ์​ของ​พระ​เจ้า​ทุก​คน ช่วย​อธิษฐาน​เพื่อ​ข้าพเจ้า​ด้วย​ว่า พระ​เจ้า​จะ​ดลใจ​ให้​ข้าพเจ้า​พูด เมื่อ​ข้าพเจ้า​เปิด​ปาก​ประกาศ​ความ​ลึกลับ​ซับซ้อน​ของ​ข่าว​ประเสริฐ​ด้วย​ใจ​กล้าหาญ ด้วย​เหตุ​นี้ ข้าพเจ้า​จึง​เป็น​ทูต​ที่​ถูก​ล่าม​โซ่​อยู่ จง​อธิษฐาน​ว่า​เวลา​ประกาศ​ข้าพเจ้า​จะ​มี​ใจ​กล้า​ตาม​ที่​ควร​เป็น” (เอเฟซัส 6:18-20)

สำหรับหลายๆคน มันง่ายที่คำอธิษฐานกลายเป็นตัวเลือก แทนที่จะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำคัญในชีวิตของเรา กลายเป็นสิ่งที่เราอาจจะทำเมื่อเรามีเวลาว่างมากขึ้นหรือเป็นธรรมเนียมในการอธิษฐานก่อนทานอาหารหรือก่อนเข้านอน แต่การ

อธิษฐานควรจะเป็นสิ่งทีจำเป็นและสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับคริสเตียนเหมือนกับที่ออกซิเจนสำคัญมากสำหรับการหายใจเพื่อมีชีวิตรอดของสิ่งมีชีวิต และนี่เป็นความจริงโดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับการทำสงครามฝ่ายจิตวิญญาณ

การอธิษฐานเป็นอาวุธที่ทรงพลังนุภาพที่สุดที่สามารถทำลายเราศัตรูและสิ่งชั่วร้ายในโลกใบนี้ ในการอธิษฐานเราสามารถเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้าเพื่อขัดขวางแผนการและเป้าหมายของมารซาตาน ในการอธิษฐานเราได้รับการเสริมกำลังเพื่อต่อต้านและต่อสู้กลับเหล่าซาตานและเรารู้เท่าทันแผนการร้ายของเหล่าศัตรู ในการอธิษฐานเราได้มีการสนทนากับพระบิดาของเราในสวรรค์ และเราได้รับวิธีการและทิศทาง จากพระองค์ว่าจะต่อสู้อย่างไร.

มีการอธิษฐาย 4 อย่าง ที่เปาโลเรียกให้เราสู้ด้วยการอธิษฐาน ผมจะพูดเพิ่มเติมในวันอาทิตย์ที่ผมจะเทศนา ในหัวข้อชุด ”การเติบโตในพระคริสต์”

อย่างแรกที่เปาโลได้บอกเราคือ อธิษฐานเสมอด้วยการนำของพระวิญญาณ นี่ก็คล้ายๆกับสิ่งที่เปาโลเขียนใน 1 เธสะโลนิกา 5:17 “จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ” หรือแม้กกระทั่งในทุกๆโอกาส และไม่ได้หมายความว่าเราเดินพึมพำทั้งวันหรือต้องคุกเข่าตลอด 24 ชั่วโมง แต่เมื่อไรก็ตามที่เราอยู่ในสถานการณ์เช่น มีการทดลองเข้ามา หรือต้องการสติปัญญาจากพระเจ้า หรือรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจ การตอบสนองแรกของเราควรจะเป็นการอธิษฐานกับพระเจ้า ในช่วงเวลาเหล่านั้น ให้เราถามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะนำเราในทั้งความคิดและการอธิษฐาน เพราะบางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าจะต้องอธิษฐานอย่างไร ให้เรานิ่งสงบและอนุญาตให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะพูดกับคุณ และขอให้พระองค์นำและเสริมกำลังคุณเพื่อที่คุณจะสามารถอธิษฐานได้ในทุกสถานการณ์ที่คุณกำลังเผชิญอยู่ในแต่ละวัน

อย่างที่สองที่เปาโลได้พูดถึงคือ อธิษฐานและวิงวอนในทุกเรื่อง มีหลายทางที่เราในฐานะผู้เชื่อควรที่จะอธิษฐาน ไม่ว่าการอธิษฐานออกเสียง อธิษฐานภายในใจ คุกเข่าลง ชูมือของเราขึ้น อธิษฐานกับผู้อื่น อธิษฐานในนามของผู้อื่น การขอบคุณพระเจ้า และอธิษฐานสารภาพบาปจะเห็นได้ว่า เราอธิษฐานตลอดเวลาด้วยคำอธิษฐานและการวิงวอนทุกรูปแบบ การอธิษฐานมันไม่มีสูตรตายตัว พระบิดาของเราอยากที่จะให้เราอธิษฐานด้วยความกล้าหาญต่อพระองค์ โดยที่รู้ว่าไม่มีอะไรเลยที่พระบิดาไม่อยากได้ยินจากเรา ให้เราใช้เวลานิ่งสงบสักครู่ พระเจ้าได้กำลังนำให้คุณอธิษฐานเพื่อเรื่องอะไร ให้อธิษฐานเรื่องนั้นๆกับพระองค์ในเวลานี้ และให้อยู่ในท่าทางที่เราสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกอย่างแท้จริงกับพระเจ้าได้

อย่างที่สาม ก็คือ จงกระตือรือร้น มีหนึ่งคำที่พระเยซูได้พูดไว้คือ ให้เฝ้าระวังร่วมกับการอธิษฐาน พระองค์ได้กล่าวว่า “ให้เราเฝ้าระวังและอธิษฐาน” กับเหล่าสาวกของพระองค์ก่อนที่พระองค์จะถูกจับกุมและถูกตรึงที่กางเขน แต่พวกเขากลับเผลอหลับไป พวกเราก็มีแนวโน้มว่าจะผล็อยหลับและลืมที่จะเฝ้าระวังในเวลาจำเป็น พวกเราอยู่ในการสู้รบ เพราะเหตุนี้เราถึงได้ถูกเรียกให้ตื่นตัวอยู่และเฝ้าระวัง เหมือนกับทหารที่เฝ้ายาม เราควจจะไปที่จุดเฝ้าสังเกตุเพื่อเฝ้าระวังภัยที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเราและผู้อื่น และร้องทูลกับพระเจ้าแทนพวกเขา แต่ว่าการอธิษฐานทำสงครามฝ่ายจิตวิญญาณจะมาคู่กับการทุ่มเทบากบั่น นี่เป็นสงครามที่เกิดขึ้นวันแล้ววันเล่าที่เราไม่สามารถที่จะหงุดหงิดหรือว่าท้อถอยและยอมแพ้ได้ เมื่อเราไม่ได้รับคำตอบจากพระเจ้า เรายอมแพ้และหยุดอธิษฐานไปอย่างง่ายดายไหม เราพึ่งพากำลังของตัวเองอยู่หรือเปล่า เรื่องอะไรที่คุณได้ยอมแพ้ในการอธิษฐานและนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าได้เรียกให้คุณกลับมาอธิษฐานเผื่อสิ่งนั้นอีกครั้ง

อย่างสุดท้ายที่อาจารย์เปาโลได้พูดถึงคือ หมั่นวิงวอนขอเพื่อผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าทุกคน ผมค้นพบว่ามันง่ายมากที่จะอธิษฐานเผื่อตัวเองมากกว่าอธิฐานเผื่อผู้อื่น “พระเจ้าขอพระองค์ช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยของผม ช่วยเรื่องงานของผม ช่วยเรื่องการเงินของผม ช่วยเรื่องการแต่งงานของผม และเรื่องอื่นๆของผม” ถึงแม้ว่ามันจะง่ายที่จะบอกความประสงค์ของเรากับพระเจ้าแต่คริสเตียนไม่ควรที่จะคิดถึงแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น แต่เราถูกเรียกให้ยืนเคียงข้างพี่น้องในพระคริสต์ของเราและต่อสู้เพื่อกันและกันในคำอธิษฐาน เมื่อเราได้ยินว่ามีคนที่กำลังต่อสู้ มีความยากลำบากในชีวิต มีความต้องการต่างๆ มีโอกาสที่เราจะได้แบ่งปันข่าวประเสริฐ หรือเราร้องทูลต่อพระเจ้าแทนพวกเขา รวมถึงอธิษฐานขอชัยชนะ อธิษฐานขอสติปัญญา ขอการทรงนำ ขอการจัดเตรียมจากพระเจ้า และรวมถึงขอความชื่นชมยินดีให้กับพวกเขา ให้เราใช้เวลาสักครู่ที่จะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาและช่วยให้เรานึกถึงสองถึงสามคนที่ในครอบครัวคริสตจักรของเรา ที่เราจะสามารถอธิฐานเผื่อพวกเขาได้ในเวลานี้

ผมรอที่จะได้รวมตัวและเฉลิมฉลองกับทุกคนในค่ำคืนนี้ และสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับพวกคุณ เจอกัน 5 โมงเย็นนี้ครับ

Fast Day 2 | อดอาหารวันที่ 2

Day 2 - Armor of God

Today our focus is on our responsibility and the armor of God. It’s easy for me to think of the armor of God as a nice metaphor, good for a Sunday school lesson, but as I read today, I felt the Spirit reminding me that this is His idea for us, not Paul’s. Yesterday, we focused on the battle at hand -- that it’s not a physical one, but a spiritual battle. 

Ephesians 6:13-17

“13 Therefore put on the full armor of God, so that when the day of evil comes, you may be able to stand your ground, and after you have done everything, to stand. 14 Stand firm then, with the belt of truth buckled around your waist, with the breastplate of righteousness in place, 15 and with your feet fitted with the readiness that comes from the gospel of peace. 16 In addition to all this, take up the shield of faith, with which you can extinguish all the flaming arrows of the evil one. 17 Take the helmet of salvation and the sword of the Spirit, which is the word of God.”

First, we need to put on the full armor of God. It’s not enough to wear the helmet of salvation alone and forget about the breastplate of righteousness. Each part serves a purpose just as each member of our body serves a different purpose. Which piece of armor are you prone to leave behind?

Belt of Truth: The truth gives us security. Jesus is the Truth. The Spirit reminds us of the truth. The father of lies is our enemy, and he hates the truth. It’s not the helmet of truth, though. It’s a belt buckled around the waist. We must know the truth, but it’s not head knowledge. It must go deeper. The belt protects and secures the most intimate part of our bodies, so also the truth of God must sink deep in our souls. Are there any lies that still have root in your soul? 

Breastplate of Righteousness: There is no aspect of the New Testament that suggests we can be saved but not changed from our old life of sin. We must put on righteousness, but that too only comes from Christ. It is not our own. Colossians 3 suggests we must put to death our old self and clothe ourselves with the things of the Spirit. Is there any unrighteousness or sin? Confess, repent, and put on Christ’s righteousness again.

Feet Fitted (Gospel of Peace): The key here is readiness. Imagine a group of soldiers outside their tent around a fire with their shoes off, relaxing while their enemies are surrounding them. The gospel of peace has a job to do. It is good news to be proclaimed and many have still not heard. Are you ready to give an answer for the hope that you have? Do you keep watch for opportunities to share the good news with others?

Shield of Faith: Our enemy is not sitting idly by. The flaming arrows of the evil one are dangerous, but we are not without protection! Jisoo mentioned a force field yesterday, and I think faith is a lot like that. You can’t see it! Neither can the enemy. Even Jesus seemed surprised by people’s faith. Trusting God when we cannot yet see him renders the enemy's arrows useless. Do you see the enemy’s arrows coming your way? Are you trusting God for the victory still?

Helmet of Salvation: In a battle there’s plenty of ways a soldier’s head can be damaged without a helmet. Your head is important! Guard your minds. Set your minds on things above. Remember that you were saved not from bad to good, but from death to life. Do you get distracted by things of the world? Do you meditate on eternity and heaven where your salvation is secure?

Sword of the Spirit: The Word of God. I once heard someone who was so frustrated spiritually that they decided to stop reading the Word of God and focus on the Spirit and prayer. I do not support that, and neither does Paul. Our primary weapon in our spiritual battle is God’s Word. It’s the sword of the Spirit because the Word was inspired by the Spirit and our battle is spiritual in nature. Do you meditate on God’s Word daily? Do you take it up as a sword when facing spiritual battles?

Let’s take up the full armor of God today as we pray. Then, let’s keep putting on every piece daily.

วันที่2 - ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า

ในวันนี้เรามุ่งเน้นที่ความรับผิดชอบและยุทธภัณฑ์ของพระผู้เป็นเจ้า เป็นเรื่องง่ายสำหรับผมที่จะนึกถึงเครื่องยุทธภัณฑ์ของพระเจ้าว่าเป็นอุปลักษณ์ที่ดี ซึ่งเหมาะสำหรับบทเรียนในวันอาทิตย์ แต่เมื่อผมได้อ่านในวันนี้ ผมรู้สึกว่าพระวิญญาณเตือนว่า นี่คือความคิดของพระองค์สำหรับเรา ไม่ใช่ของเปาโล เมื่อวานนี้ เรามุ่งความสนใจไปที่การต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งไม่ใช่การต่อสู้ทางฝ่ายเนื้อหนัง แต่เป็นการต่อสู้ทางจิตวิญญาณ

เอเฟซัส 6:13-17

13เพราะเหตุนี้จงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะสามารถต่อสู้ในวันชั่วร้ายนั้น และเมื่อทำทุกอย่างแล้วจะยังยืนหยัดอยู่ได้ 14เพราะฉะนั้นจงยืนหยัดไว้ เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นเกราะป้องกันอก 15และเอาความพรั่งพร้อมในการประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขมาสวมเป็นรองเท้า 16และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นี้พวกท่านจะสามารถดับลูกศรเพลิงทั้งหมดของมารร้าย 17จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า

อันดับแรก เราต้องสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพราะมันไม่เพียงพอที่จะสวมหมวกเหล็กแห่งความรอดเพียงอย่างเดียวและลืมสวมเกราะอกแห่งความชอบธรรม แต่ละส่วนมีวัตถุประสงค์เช่นเดียวกับที่อวัยวะแต่ละส่วนในร่างกายของเรามีหน้าที่แตกต่างกัน แล้วชิ้นส่วนไหนในชุดเกราะที่คุณมักจะลืมและทิ้งเอาไว้?

เข็มขัดแห่งความจริง: ความจริงทำให้เราปลอดภัย พระเยซูคือความจริง พระวิญญาณเตือนเราถึงความจริง บิดาแห่งการโกหกคือศัตรูของเรา และมันเกลียดชังความจริง นี่ไม่ใช่เป็นเพียงหมวกแห่งความจริง แต่เป็นเข็มขัดที่คาดอยู่รอบเอว เราต้องรู้ถึงความจริงแต่ไม่ใช่ความรู้ที่อยู่ในหัว มันต้องลงลึกมากกว่านั้น เข็มขัดจะปกป้องและยึดส่วนที่แนบชิดที่สุดในร่างกายของเรา ดังนั้น ความจริงของพระเจ้าจะต้องฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณของเราด้วย มีเรื่องโกหกใดบ้างที่ยังคงฝังรากอยู่ในจิตวิญญาณของคุณ?

เกราะอกแห่งความชอบธรรม: ไม่มีแง่มุมใดเลยของพันธสัญญาใหม่ที่แนะนำเราว่า พวกเราสามารถได้รับความรอดได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงจากชีวิตเดิมที่มีแต่ความบาป เราต้องสวมความชอบธรรม แต่นั่นก็มาจากพระคริสต์เช่นกัน ไม่ใช่จากตัวตนของเรา โคโลสี 3 แนะนำให้เราต้องฆ่าตัวตนเก่าของเราทิ้งและสวมเสื้อผ้าของเราด้วยสิ่งของของพระวิญญาณ คุณยังมีความอธรรมหรือบาปหรือไม่? จงสารภาพ, กลับใจ, และสวมความชอบธรรมของพระคริสต์อีกครั้ง

รองเท้าที่พอดี (ข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข): กุญแจสำคัญคือความพร้อม ลองนึกภาพถึงทหารกลุ่มหนึ่งที่อยู่นอกเต็นท์รอบกองไฟโดยถอดรองเท้าของตนออกอย่างผ่อนคลาย ในขณะที่ศัตรูล้อมรอบพวกเขาอยู่ … ข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขมีจุดประสงค์ที่ต้องทำ เป็นข่าวดีที่ต้องประกาศและหลายคนยังไม่เคยที่จะได้ยิน คุณพร้อมที่จะให้คำตอบสำหรับความหวังที่คุณมีหรือไม่? คุณคอยมองหาโอกาสที่จะแบ่งปันข่าวดีกับผู้อื่นอยู่หรือเปล่า?

โล่แห่งศรัทธา: ศัตรูของเราไม่ได้อยู่เฉย ลูกธนูเพลิงของปีศาจร้ายนั้นอันตราย แต่พวกเราก็ไม่ได้ปราศจากการป้องกัน! จีซูพูดถึงสนามพลังเมื่อวานนี้ และผมเองคิดว่าความศรัทธาก็เหมือนกับสิ่งนั้น คุณไม่สามารถมองเห็นได้! ศัตรูก็เช่นกัน แม้แต่พระเยซูก็ยังดูประหลาดใจในความเชื่อของผู้คน มันคือการไว้วางใจพระเจ้าในขณะที่เราเองยังไม่เห็นว่าพระองค์ทรงทำให้ลูกธนูของศัตรูไร้กำลัง คุณมองเห็นลูกศรของศัตรูกำลังตรงมาทางคุณหรือไม่? คุณยังคงวางใจในพระเจ้าสำหรับชัยชนะหรือไม่?

หมวกกันน็อคแห่งความรอด: ในการสู้รบ มีหลายวิธีที่ศีรษะของทหารอาจเสียหายได้หากไม่สวมหมวกนิรภัย หัวของคุณเป็นสิ่งสำคัญ! ปกป้องจิตใจของคุณ ตั้งสติกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน จำไว้ว่าคุณไม่ได้รอดจากร้ายกลายเป็นดี แต่จากความตายกลับสู่การมีชีวิต คุณฟุ้งซ่านไปกับสิ่งต่าง ๆ บนโลกใบนี้หรือไม่? คุณใคร่ครวญถึงความเป็นนิรันดร์และสวรรค์ที่ซึ่งความรอดของคุณปลอดภัยหรือเปล่า?

ดาบแห่งพระวิญญาณ: พระวจนะของพระเจ้า ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินบางคนที่ท้อแท้ทางฝ่ายวิญญาณจนตัดสินใจหยุดอ่านพระวจนะของพระเจ้า และจดจ่ออยู่กับฝ่ายวิญญาณและการอธิษฐาน ผมไม่สนับสนุนความคิดนั้น และเปาโลเองก็เช่นกัน อาวุธหลักของเราในการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า เป็นดาบของพระวิญญาณเพราะพระวจนะได้รับการดลใจจากพระวิญญาณ และการต่อสู้ของเราก็เป็นฝ่ายวิญญาณในธรรมชาติ คุณใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าทุกวันหรือไม่? คุณใช้มันเป็นดาบเมื่อเผชิญกับการต่อสู้ทางวิญญาณหรือไม่?

วันนี้ขอให้พวกเรามาสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าในขณะที่เราอธิษฐานกัน และก็ยังคงสวมมันทุกวันจากนี้ไปเรื่อยๆ

Fast Day 1 | อดอาหารวันที่ 1

Fast - Spring 2023 - Day 1

Hello everyone! Looking forward to fasting with you this week. Leading into the fast, we felt that it would be important to fast and pray regarding spiritual warfare. With every move of God, there is a counter move of Satan. As we enter into this new season, asking God for revival, we must be prepared for the war between spiritual forces that is taking place in heavenly places.

As we fast and pray, we will be going through Ephesians 6:10-20, Paul’s admonition regarding spiritual warfare:

Ephesians 6:10-20

10 Finally, be strong in the Lord and in the strength of his might. 11 Put on the whole armor of God, that you may be able to stand against the schemes of the devil. 12 For we do not wrestle against flesh and blood, but against the rulers, against the authorities, against the cosmic powers over this present darkness, against the spiritual forces of evil in the heavenly places. 13 Therefore take up the whole armor of God, that you may be able to withstand in the evil day, and having done all, to stand firm. 14 Stand therefore, having fastened on the belt of truth, and having put on the breastplate of righteousness, 15 and, as shoes for your feet, having put on the readiness given by the gospel of peace. 16 In all circumstances take up the shield of faith, with which you can extinguish all the flaming darts of the evil one; 17 and take the helmet of salvation, and the sword of the Spirit, which is the word of God, 18 praying at all times in the Spirit, with all prayer and supplication. To that end, keep alert with all perseverance, making supplication for all the saints, 19 and also for me, that words may be given to me in opening my mouth boldly to proclaim the mystery of the gospel, 20 for which I am an ambassador in chains, that I may declare it boldly, as I ought to speak.

We will break up the passage in this way:

  • Day 1 - Being alert about the spiritual war around us and trusting in Christ’s victory over Satan on the Cross

  • Day 2 - Our responsibility as ready soldiers to put on armor so that we can fight and resist the enemy

  • Day 3 - Engaging in spiritual battle through prayer for ourselves, others, and our leaders

For Day 1, let’s be meditating and praying around these questions:

  • Are we awake and aware of the spiritual war that we are engaged in? Or, are we asleep, looking only at the physical realm? What are some ways Satan might be coming against you in this season of your life? Are there any areas of weakness that he might be able to use against you?

  • We do not wrestle against flesh and blood” - Have you fallen into demonizing people? Are there any ungodly judgments, relational conflicts, negative feelings toward others that you need to release?

  • In your engagement of spiritual warfare, are you trusting in your own strength? Or, are you relying on the victory that Jesus has already accomplished on the Cross? Do you have any unnecessary fear? Have you lost hope and faith? 

Let us remember and meditate on Jesus’s victory, His power and great might, and how all things are subject to Him under His feet:

Ephesians 1:19-22

19 and what is the immeasurable greatness of his power toward us who believe, according to the working of his great might 20 that he worked in Christ when he raised him from the dead and seated him at his right hand in the heavenly places, 21 far above all rule and authority and power and dominion, and above every name that is named, not only in this age but also in the one to come. 22 And he put all things under his feet and gave him as head over all things to the church,

อดอาหาร- ฤดูใบไม้ผลิ 2023 - วันที่ 1

สวัสดีตอนเช้าทุกคน! รอคอยที่จะถือศีลอดกับคุณในสัปดาห์นี้ เมื่อเข้าสู่การอดอาหาร เรารู้สึกว่าการอดอาหารและอธิฐานอ้อนวอนเกี่ยวกับสงครามฝ่ายวิญญาณเป็นสิ่งสำคัญ ทุกการเคลื่อนไหวของพระเจ้า มีการเคลื่อนไหวสวนกลับของซาตาน เมื่อเราเข้าสู่ฤดูกาลใหม่นี้ โดยการทูลขอการฟื้นฟูจากพระเจ้า เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงครามระหว่างพลังฝ่ายวิญญาณที่กำลังเกิดขึ้นในสรวงสวรรค์

 ขณะที่เราอดอาหารและอธิษฐาน เราจะอ่านเอเฟซัส 6:10-20 คำแนะนำของเปาโลเกี่ยวกับสงครามฝ่ายวิญญาณ:

10 สุดท้ายนี้จงเข้มแข็งในองค์พระผู้เป็นเจ้าและในฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ 11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อท่านจะยืนหยัดต่อสู้แผนการทั้งหลายของมารได้ 12 เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเหล่าเทพผู้ครอง เทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพของโลกอันมืดมนนี้ และต่อสู้กับเหล่าวิญญาณชั่วในย่านฟ้าอากาศ 13 ฉะนั้นจงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อท่านจะยืนหยัดรับมือได้เมื่อถึงวันอันชั่วร้าย และหลังจากท่านได้ผ่านทุกอย่างแล้ว ท่านก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ 14 ด้วยเหตุนี้จงยืนหยัดมั่นคง โดยคาดเอวด้วยเข็มขัดแห่งความจริง สวมเสื้อเกราะแห่งความชอบธรรม 15 สวมรองเท้าที่ทำให้พร้อมประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข 16 นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จงยึดโล่แห่งความเชื่อ ซึ่งพวกท่านใช้ดับลูกศรเพลิงทั้งปวงของมารร้ายได้ 17 จงสวมหมวกเกราะแห่งความรอด และถือดาบแห่งพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า 18 และจงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกโอกาสด้วยการอธิษฐานและการวิงวอนทุกรูปแบบ โดยคำนึงถึงสิ่งนี้จงเฝ้าระวังด้วยความมานะอดทนและด้วยการวิงวอนเผื่อประชากรทั้งปวงของพระเจ้าเสมอ 19 และเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อว่าเมื่อใดที่ข้าพเจ้าเอ่ยปากพระเจ้าจะประทานถ้อยคำให้ข้าพเจ้าสำแดงข้อล้ำลึกแห่งข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญ 20 เพราะข่าวประเสริฐนี้ข้าพเจ้าจึงเป็นทูตที่ถูกล่ามโซ่อยู่ เพื่อว่าข้าพเจ้าจะประกาศข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญตามที่ข้าพเจ้าสมควรจะทำ

เราจะจำแนกข้อความด้วยวิธีนี้:

• วันที่ 1 - ตื่นตัวเกี่ยวกับสงครามฝ่ายวิญญาณรอบตัวเรา และวางใจในชัยชนะของ พระคริสต์เหนือซาตานบนไม้กางเขน

• วันที่ 2 –การตอบรับของเราในฐานะทหารที่พร้อมสวมชุดเกราะ เพื่อที่เราจะสามารถต่อสู้และต้านทานข้าศึกได้

• วันที่ 3 - มีส่วนร่วมในการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณผ่านการอธิษฐานเพื่อตัวเราเอง ผู้อื่น และผู้นำของเรา

สำหรับวันที่ 1 เรามาใคร่ครวญและอธิษฐานกับคำถามเหล่านี้:

  • เราตื่นตัวและตระหนักถึงสงครามฝ่ายวิญญาณที่เรากำลังเผชิญอยู่หรือไม่? หรือเรากำลังหลับไหล หรือจ้องมองแต่โลกทางเนื้อหนังมังสา? มีวิธีใดบ้างที่ซาตานอาจเข้ามาทำร้ายคุณในช่วงฤดูการนี้ในชีวิตของคุณ  มีจุดอ่อนด้านใดบ้างที่ซาตานอาจใช้กับคุณ?

  • เราไม่ได้ต่อสู้กับเลือดเนื้อ” - เคยตกเป็นเหยื่อของปีศาจหรือไม่? มีการตัดสินที่ไร้ศีลธรรม ความขัดแย้งทางความสัมพันธ์ ความรู้สึกด้านลบต่อผู้อื่นที่คุณต้องปลดปล่อยหรือไม่?

  • ในการทำสงครามฝ่ายวิญญาณ คุณเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตัวเอง? หรือคุณกำลังพึ่งพาชัยชนะที่พระเยซูได้ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน? คุณมีความกลัวโดยไม่จำเป็นหรือไม่? คุณสูญเสียความหวังและศรัทธาแล้วหรือยัง?

ให้เราระลึกถึงและใคร่ครวญถึงชัยชนะของพระเยซู พลังและฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และทุกสิ่งอยู่ใต้พระบาทของพระองค์:

เอเฟซัส 1: 19-22

 19 และรู้ถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่สุดหาใดเทียบสำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ฤทธานุภาพนี้เป็นเหมือนพระราชกิจแห่งพลังอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 20 ซึ่งทรงกระทำในพระคริสต์เมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย และให้ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน 21 สูงส่งยิ่งเหนือเทพผู้ครองและเทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ครองอาณาจักรทั้งสิ้น และเหนือทุกนามที่เขาเอ่ยขึ้น ไม่เพียงในยุคนี้เท่านั้นแต่ในยุคหน้าด้วย 22 และพระเจ้าทรงให้สิ่งสารพัดอยู่ใต้พระบาทพระคริสต์ และทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือทุกสิ่งเพื่อคริสตจักร

Fast Day 3 - Revival | อดอาหารวันที่ 3 – การฟื้นฟู

Fast Day 3 - Revival

When I was pastoring in the US, we had a lot of older people in our church. People who were in their 60s and 70s. They would share their experiences from the past about revival. In the 1970s, there was a movement of God called the Jesus People movement, and it was also when the Vineyard movement started. It was an incredible time. There were prayer meetings that would last weeks. People would fill churches day after day for 3-4 hours or more praying, worshiping, and experiencing God together.

I remember one particular story from a woman named Jan. She said that she would go to these meetings and stay for hours not wanting leave. There was great worship, good times of prayer, and all kinds of signs and wonders, but the thing she said that she loved most and missed most about those times was the presence of God. 

In 2 Chronicles 5, we see that when the 1st Temple was completed in Jerusalem and the ark of the presence of God was brought into it, the people of God began to worship. When this happened, the Bible says “the house of the Lord, was filled with a cloud, so that the priests could not stand to minister because of the cloud, for the glory of the Lord filled the house of God.

Jan told me that one evening, the presence of God was so thick in the sanctuary that people couldn’t stand up. She laid on the floor the whole time. And, even when the meeting was over and it was time to go home, she had to crawl on her hands and knees out of the building, across the parking lot, and into her car. Actually, her husband Larry had to help her even get into their car to go home. It wasn’t until they got home that Jan was finally able to stand and walk again.

Habakkuk is an Old Testament prophet who had heard from the times of old about how God move among the people of Israel and desperately wanted to see it with his own eyes. This was his prayer.

Habakkuk 3

1 A prayer of Habakkuk the prophet, according to Shigionoth.

2 O Lord, I have heard the report of you,

    and your work, O Lord, do I fear.

In the midst of the years revive it;

    in the midst of the years make it known;

    in wrath remember mercy.

3 God came from Teman,

    and the Holy One from Mount Paran. Selah

I don’t know about you, but I want to experience the presence of our Living God in that way at some point in my life. I hope it is in Chiang Rai. I hope it is soon.

อดอาหารวันที่ 3 – การฟื้นฟู

เมื่อตอนที่ผมได้เป็นศิษยาภิบาลที่อเมริกา ที่คริสตจักรของเรามีผู้สูงอายุ อายุ60,70ปี เยอะมาก พวกเขาจะแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับการฟื้นฟูในอดีต ในปี 1970 พระเจ้าได้ทำการเคลื่อนไหว และถูกเรียกว่า “The Jesus people movement” แล้วมันเป็นช่วงเวลาที่มหัศจรรย์มาก มีการประชุมอธิษฐานเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน เป็นเวลาหลายสัปดาห์ คริสตจักรเต็มไปด้วยคน และพวกเขาใช้เวลา3-4 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นเพื่อที่จะอธิษฐานนมัสการและได้สัมผัสถึงพระเจ้าร่วมกัน 

เรื่องหนึ่งที่ผมจำได้ อย่างดีคือเรื่องของผู้หญิงที่ชื่อเจน เธอได้บอกว่าเธอได้ไปที่การนมัสการนี้ เป็นเวลาหลายชั่วโมงและไม่อยากที่จะกลับเลย การนมัสการและอธิษฐานในเวลานั้นเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก และมีการสำแดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆในเวลานั้นด้วย แต่ว่าสิ่งที่เธอประทับใจมากที่สุดและยังคงนึกถึงอยู่เสมอคือช่วงเวลาแห่งการทรงสถิตของพระเจ้า

ใน 2 พงษาวดาร บทที่ 5 เราเห็นได้ว่าเมื่อพระวิหารถูกสร้างอย่างสมบูรณ์ในกรุงเยรูซาเลมและหีบพันธสัญญาของพระเจ้าได้ถูกนำไปตั้งไว้ภายในพระวิหารประชากรของพระเจ้าเริ่มที่จะนมัสการและเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในพระคัมภีร์ได้บอกว่า “พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าก็เต็มไปด้วยเมฆ ทำให้บรรดาปุโรหิตไม่สามารถยืนปฏิบัติหน้าที่ได้เนื่องจากเมฆนั้น เพราะพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏขึ้นในพระตำหนักของพระเจ้า”

เจนได้เล่าอีกว่ามีอยู่เย็นหนึ่ง การทรงสถินของพระเจ้าเต็มล้นมากในห้องนมัสการนั้นและผู้คนไม่สามารถที่จะลุกขึ้นได้เลย เจนได้นอนอยู่พื้นห้องนั้นตลอดเวลา และถึงแม้ว่าการนมัสการได้สิ้นสุดลงแล้วคนต้องกลับบ้าน เธอถึงกับต้องคลานออกจากตัวอาคาร ไปยังลานจอดรถและพยายามขึ้นไปในรถของเธอ จริงๆแล้วสามีของเธอแลร์รี่ ต้องช่วยช่วยพยุงเธอขึ้นรถ เพื่อจะกลับบ้าน และเธอได้อยู่สภาพแบบนั้นจนถึงบ้าน เธอถึงจะกลับมายืนแล้วก็เดินได้อีกครั้ง

ผู้เผยพระวัจจะ ฮาบากุก ในพระคัมภีร์เดิมได้ยินถึงว่าพระเจ้าจะทรงเคลื่อนไหวท่ามกลางคนอิสราเอลประชากรของพระองค์ และเขามีความปรารถนาอย่างมากที่จะเห็นการเคลื่อนไหวของพระเจ้าเกิดขึ้นด้วยตาของเขาเอง และนี่คือคำอธิษฐานของฮาบากุก

ฮาบากุก 3

1 คำอธิษฐานของฮาบากุก ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ตามทำนองชิกกาโยน

2 โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์

    โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเกรงขามในสิ่งที่พระองค์สำแดง

ขอพระองค์ช่วยให้สิ่งดังกล่าวมีชีวิตขึ้นใหม่ในปัจจุบันนี้

    ขอพระองค์กระทำให้เป็นที่ประจักษ์ในปัจจุบันนี้

    โปรดระลึกถึงความเมตตาเมื่อพระองค์ลงโทษ

3 พระเจ้ามาจากเทมาน

    องค์ผู้บริสุทธิ์จากภูเขาปาราน เซล่าห์

ความเรืองรองของพระองค์ปกคลุมฟ้าสวรรค์

    และแผ่นดินโลกเต็มด้วยพระบารมีของพระองค์

ผมไม่แน่ใจว่าพวกคุณคิดอย่างไรแต่สำหรับผมผมอยากมีประสบการณ์ในการทรงสถิตของพระเจ้าผู้ยังทรงเป็นอยู่แบบนั้นบ้าง สักครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตของผม ผมหวังว่ามันจะเกิดขึ้นที่นี่ในเชียงรายและมันจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้

Fast Day 2 - Unity อดอาหารวันที่ 2 – ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

Fast Day 2 - Unity

We had such a great time last night worshiping and praying together. One of my highlights was Timur sharing about why we fast: we fast because our Bridegroom (Jesus) has not returned yet. In our flesh, we look for to the potluck dinner we will have together tomorrow to break our fast. In our spirits, we long for the feast to end all feasts, the Wedding Supper of the Lamb! 

Today, we believe we are to pray for unity. When we are at this great feast, it won’t just be a celebration of our union with Christ. We will be united to each other through Jesus, living in perfect harmony, having perfect love for each other: “one body and one Spirit … one Lord, one faith, one baptism, one God and Father of all, who is over all and through all and in all.” (Ephesians 4).

As a father, nothing blesses my heart more than when my children are all gathered around and we are enjoying fellowship together. I love when my kids are together, loving each other, and enjoying each other’s company.

In the Bible, we see how much our heavenly Father loves when his children dwell together in unity. It’s an outworking of the Holy Spirit who has been poured out on us.

Psalm 133

1 Behold, how good and pleasant it is

    when brothers dwell in unity!

2 It is like the precious oil on the head,

    running down on the beard,

on the beard of Aaron,

    running down on the collar of his robes!

3 It is like the dew of Hermon,

    which falls on the mountains of Zion!

For there the Lord has commanded the blessing,

    life forevermore.

Acts 2:42-47

42 And they devoted themselves to the apostles' teaching and the fellowship, to the breaking of bread and the prayers. 43 And awe came upon every soul, and many wonders and signs were being done through the apostles. 44 And all who believed were together and had all things in common. 45 And they were selling their possessions and belongings and distributing the proceeds to all, as any had need. 46 And day by day, attending the temple together and breaking bread in their homes, they received their food with glad and generous hearts, 47 praising God and having favor with all the people. And the Lord added to their number day by day those who were being saved.

Let’s seek unity together, not just because we want to usher in a revival. Let’s seek unity together because we know how much it blesses the Father’s heart!

See you tonight!

อดอาหารวันที่ 2 – ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

เมื่อคืนเราได้มีช่วงเวลาที่ดีมากในการนมัสการและอธิฐานร่วมกัน หนึ่งในเวลาที่ประทับใจสำหรับผมคือเมื่อทีมัวร์ได้แบ่งปันเกี่ยวกับว่าทำไมเราถึงอดอาหารอธิษฐาน เราอดอาหารอธิฐานเพราะว่าเจ้าบ่าวของเรา(พระเยซูคริสต์) ยังไม่เสด็จกลับมา ฝ่ายเนื้อหนังของเราเรารอคอยการรับประทานอาหารร่วมกันที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้  แต่ในจิตวิญญาณของเราเราเฝ้ารอคอยการร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกันในงานสมรสกับพระเยซูคริสต์ 

วันนี้เรามารวมตัวกันอธิษฐานเพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เมื่อเราอดอาหารอธิฐานมันไม่ใช่แค่การฉลองในความสามัคคีที่เรามีในพระเยซูคริสต์ เราจะได้มีความสามัคคีร่วมกันในหมู่พี่น้องผ่านทางพระเยซูคริสด้วย การใช้ชีวิต อย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและมีความรักที่สมบูรณ์ให้แก่กันและกัน “พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​องค์​เดียว ความ​เชื่อ​เดียว บัพติศมา​เดียว พระ​เจ้า​องค์​เดียว​ผู้​เป็น​พระ​บิดา​ของ​เรา​ทุก​คน เป็น​เจ้า​นาย​เหนือ​เรา​ทุก​คน ดำเนิน​งาน​ผ่าน​เรา​ทุก​คน​และ​ดำรง​อยู่​ใน​เรา​ทุก​คน”

‭‭เอเฟซัส‬ ‭4:5-6‬ ‭NTV‬‬”

ในฐานะพ่อ ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมมีความสุขมากไปกว่าเมื่อเห็นลูกๆพร้อมหน้าพร้อมตา เราได้มีช่วงเวลาที่ดีในการสามัคคีธรรมด้วยกัน ผมชอบมากเมื่อลูกๆรักกันและกันและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

ในพระคัมภีร์เราเห็นได้ว่าพระบิดาของเราในฟ้าสวรรค์รักเมื่อลูกของพระองค์อยู่ร่วมกันด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และนั่นเป็นการสำแดงให้เห็นถึงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ได้ดำรงอยู่ในเราด้วย 

สดุดี 133

1 ดูเถิด เป็นสิ่งดีและน่าเบิกบานใจอะไรเช่นนี้

    เวลาพี่น้องได้มาอยู่ร่วมกันอย่างมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

2 เสมือนน้ำมันอันประเสริฐชโลมไว้บนศีรษะ

    ที่ไหลลงอาบบนเครา

บนเคราของอาโรน

    ไหลรินลงสู่คอเสื้อของท่าน

3 เสมือนน้ำค้าง ณ ภูเขาเฮอร์โมน

    ที่พร่างพรมสู่เทือกเขาของศิโยน

นั่นคือสถานที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้มอบพระพร

    คือการมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์

กิจการของอัครทูต 2:42-47

42 ผู้คนเหล่านั้นล้วนใฝ่ใจทั้งในคำสั่งสอนของเหล่าอัครทูต การร่วมสามัคคีธรรม รวมถึงการบิขนมปัง[e] และการอธิษฐาน 43 ทุกคนเกรงกลัวในสิ่งมหัศจรรย์และปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ที่พวกอัครทูตกระทำ 44 ทุกคนที่เชื่อต่างก็พบปะกันด้วยความใกล้ชิดอยู่เสมอ และแบ่งปันสิ่งของที่ตนมีให้แก่กันและกัน 45 ต่างขายสมบัติพัสถานของตนเอง เพื่อแบ่งปันให้แก่ทุกคนที่ขัดสน 46 เขาเหล่านั้นร่วมประชุมกันต่อไปทุกวันในบริเวณพระวิหาร บิขนมปังรับประทานกันตามบ้านด้วยความยินดีและความจริงใจ 47 ผู้ที่เชื่อพากันสรรเสริญพระเจ้า และคนทั่วไปล้วนชื่นชมไปกับพวกเขาด้วย พระผู้เป็นเจ้าได้เพิ่มจำนวนผู้รอดพ้นให้ทวีขึ้นเป็นประจำทุกวัน

ให้เราที่จะมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในวันนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเราต้องการที่จะนำการฟื้นฟูมาถึงเท่านั้น แต่นั่นเพราะเรารู้ว่าสิ่งนี้จะทำให้พระบิดาของเรามีความสุขมากแค่ไหน

พบกันคืนนี้ครับ!

Fast Day 1 – Repentance อดอาหารวันที่ 1 – การกลับใจ

Fast Day 1 – Repentance

The 1st of Martin Luther’s 95 theses that started Protestant Reformation says this:

When our Lord and Master Jesus Christ said, ``Repent'' (Matthew 4:17), he willed the entire life of believers to be one of repentance.

It is not a one-time thing we do when we become Christian. It is a heart posture that we keep toward God our whole lives.

As John Piper writes: “All of the Christian life is repentance. Turning from sin and trusting in the good news that Jesus saves sinners aren’t merely a one-time inaugural experience but the daily substance of Christianity. The gospel is for every day and every moment. Repentance is to be the Christian’s continual posture.”

We see it in the life of Job—not at the beginning of his journey with God—but rather after getting to know God through the trials and sufferings that God puts him through that we see his incredible heart posture of repentance.

Job 42:1-6

1 Then Job answered the Lord and said:

2 “I know that you can do all things,

and that no purpose of yours can be thwarted.

3 ‘Who is this that hides counsel without knowledge?’

Therefore I have uttered what I did not understand,

things too wonderful for me, which I did not know.

4 ‘Hear, and I will speak;

I will question you, and you make it known to me.’

5 I had heard of you by the hearing of the ear,

but now my eye sees you;

6 therefore I despise myself,

and repent in dust and ashes.”

We see in the Bible that fasting and repentance can go hand-in-hand.

Jonah 3:4 Jonah began to go into the city, going a day's journey. And he called out, “Yet forty days, and Nineveh shall be overthrown!” 5 And the people of Nineveh believed God. They called for a fast and put on sackcloth, from the greatest of them to the least of them.

We see it in situations where a person is personally repenting for his or herself, or when we repent on behalf of others in intercession.

Daniel 9:3 Then I turned my face to the Lord God, seeking him by prayer and pleas for mercy with fasting and sackcloth and ashes. 4 I prayed to the Lord my God and made confession, saying, “O Lord, the great and awesome God, who keeps covenant and steadfast love with those who love him and keep his commandments, 5 we have sinned and done wrong and acted wickedly and rebelled, turning aside from your commandments and rules.

How is your heart posture toward God? Are you in awe and reverence of Him and His holiness? How is your heart? Is it proud? Entitled? Are you humble and grateful?

During the first day of the fast tomorrow, let us ask the Holy Spirit to increase in us a heart of repentance toward God.

อดอาหารวันที่ 1 – การกลับใจ

วิทยานิพนธ์ 95 ข้อที่ 1 ใน 95 ประการของมาร์ติน ลูเธอร์ที่เริ่มต้นการปฏิรูปโปรเตสแตนต์กล่าวว่า:

เมื่อพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ตรัสว่า ``กลับใจใหม่'' (มัทธิว 4:17) พระองค์ทรงประสงค์ให้ทั้งชีวิตของผู้เชื่อเป็นผู้กลับใจ

ไม่ใช่ครั้งเดียวที่เราทำเมื่อเราเป็นคริสเตียน เป็นสิ่งที่หัวใจของเรายึดมั่นต่อพระเจ้าทั้งชีวิต

ดังที่จอห์น ไพเพอร์เขียนไว้ว่า “ชีวิตคริสเตียนทั้งหมดคือการกลับใจ การหันจากความบาปและวางใจในข่าวดีที่ว่าพระเยซูทรงช่วยคนบาปไม่ได้เป็นเพียงประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิต แต่เป็นเนื้อหาประจำวันของศาสนาคริสต์ พระกิตติคุณมีไว้สำหรับทุกวันและทุกขณะ การกลับใจคือการกระทำต่อเนื่องของคริสเตียน”

เราเห็นสิ่งนี้ในชีวิตของโยบ—ไม่ใช่ในตอนเริ่มต้นของการเดินทางของเขากับพระเจ้า—แต่หลังจากที่ได้รู้จักพระเจ้าผ่านการทดลองและความทุกข์ทรมานที่พระเจ้าประทานให้เขาผ่านการที่เราได้เห็นท่าทีอันเหลือเชื่อของการกลับใจในหัวใจของเขา

โยบ 42:1-6

42:1 แล้วโยบทูลตอบพระเยโฮวาห์และกราบทูลว่า

42:2 “ข้าพระองค์ทราบแล้วว่า พระองค์ทรงสามารถกระทำทุกสิ่งได้ และไม่มีความคิดใดที่สามารถถูกปิดซ่อนไว้จากพระองค์ได้

42:3 ‘ใครเป็นผู้ที่ซ่อนคำปรึกษาไว้โดยปราศจากความรู้’ เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงได้กล่าวถึงสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่ได้เข้าใจเลย สิ่งต่าง ๆ ที่ประหลาดเกินไปสำหรับข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์ไม่เคยรู้เลย

42:4 ‘ขอทรงฟังเถิด ข้าพระองค์ขอร้องพระองค์ และข้าพระองค์จะพูด ข้าพระองค์จะทูลถามพระองค์ และขอพระองค์ทรงประกาศแก่ข้าพระองค์เถิด’

42:5 ข้าพระองค์เคยได้ยินถึงพระองค์ด้วยหู แต่บัดนี้ตาของข้าพระองค์เห็นพระองค์แล้ว

42:6 ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดชังตัวเอง และกลับใจอยู่ในผงคลีและขี้เถ้า”

เราเห็นในพระคัมภีร์ว่าการอดอาหารและการกลับใจสามารถไปด้วยกันได้

โยนาห์ 3:4 โยนาห์ตั้งต้นเดินเข้าไปในเมืองได้ระยะทางเดินวันหนึ่ง และท่านก็ร้องประกาศว่า "อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกคว่ำ" 

5 ฝ่ายประชาชนนครนีนะเวห์ได้เชื่อพระเจ้า เขาประกาศให้อดอาหาร และสวมผ้ากระสอบ ตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดถึงผู้น้อยที่สุด

เราเห็นในสถานการณ์ที่บุคคลหนึ่งกลับใจเพื่อตัวของเขาเอง  หรือเมื่อเรากลับใจ เมื่อผู้อื่นขอร้องวิงวอน

ดาเนียล 9:3

9:3 และข้าพเจ้าก็หันหน้าของข้าพเจ้าไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า เพื่อแสวงหาโดยการอธิษฐานและการวิงวอนทั้งหลาย ด้วยการอดอาหาร และผ้ากระสอบ และขี้เถ้า

9:4 และข้าพเจ้าได้อธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้า และทำการสารภาพของข้าพเจ้า และทูลว่า “โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งและที่น่าสะพรึงกลัว ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความเมตตาต่อคนทั้งหลายที่รักพระองค์ และแก่คนทั้งหลายที่รักษาพระบัญญัติทั้งหลายของพระองค์

9:5 ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาป และได้กระทำความชั่วช้า และได้กระทำอย่างคนชั่ว และได้กบฏแล้ว คือโดยการไปจากบรรดาข้อบังคับของพระองค์และจากคำตัดสินทั้งหลายของพระองค์

ท่าทีหัวใจของคุณที่มีต่อพระเจ้าเป็นอย่างไร? คุณยำเกรงและเคารพในพระองค์และความบริสุทธิ์ของพระองค์หรือไม่? หัวใจของคุณเป็นอย่างไร? น่าภูมิใจ? มีสิทธิ์จะทำสิ่งที่คุณต้องการ? คุณอ่อนน้อมถ่อมตนและขอบคุณหรือไม่?

ในวันแรกของการถือศีลอดในวันพรุ่งนี้ ให้เราทูลขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เพิ่มใจในการกลับใจต่อพระเจ้าในตัวเรา

Day 3 - Shine! วันที่ 3 - ส่องสว่าง!

Isaiah 60

1 Arise, shine, for your light has come,
    and the glory of the Lord has risen upon you.
2 For behold, darkness shall cover the earth,
    and thick darkness the peoples;
but the Lord will arise upon you,
    and his glory will be seen upon you.
3 And nations shall come to your light,
    and kings to the brightness of your rising.

4 Lift up your eyes all around, and see;
    they all gather together, they come to you;
your sons shall come from afar,
    and your daughters shall be carried on the hip.
5 Then you shall see and be radiant;
    your heart shall thrill and exult,
because the abundance of the sea shall be turned to you,
    the wealth of the nations shall come to you.
6 A multitude of camels shall cover you,
    the young camels of Midian and Ephah;
    all those from Sheba shall come.
They shall bring gold and frankincense,
    and shall bring good news, the praises of the Lord.
7 All the flocks of Kedar shall be gathered to you;
    the rams of Nebaioth shall minister to you;
they shall come up with acceptance on my altar,
    and I will beautify my beautiful house.

8 Who are these that fly like a cloud,
    and like doves to their windows?
9 For the coastlands shall hope for me,
    the ships of Tarshish first,
to bring your children from afar,
    their silver and gold with them,
for the name of the Lord your God,
    and for the Holy One of Israel,
    because he has made you beautiful.

10 Foreigners shall build up your walls,
    and their kings shall minister to you;
for in my wrath I struck you,
    but in my favor I have had mercy on you.
11 Your gates shall be open continually;
    day and night they shall not be shut,
that people may bring to you the wealth of the nations,
    with their kings led in procession.
12 For the nation and kingdom
    that will not serve you shall perish;
    those nations shall be utterly laid waste.
13 The glory of Lebanon shall come to you,
    the cypress, the plane, and the pine,
to beautify the place of my sanctuary,
    and I will make the place of my feet glorious.
14 The sons of those who afflicted you
    shall come bending low to you,
and all who despised you
    shall bow down at your feet;
they shall call you the City of the Lord,
    the Zion of the Holy One of Israel.

15 Whereas you have been forsaken and hated,
    with no one passing through,
I will make you majestic forever,
    a joy from age to age.
16 You shall suck the milk of nations;
    you shall nurse at the breast of kings;
and you shall know that I, the Lord, am your Savior
    and your Redeemer, the Mighty One of Jacob.

17 Instead of bronze I will bring gold,
    and instead of iron I will bring silver;
instead of wood, bronze,
    instead of stones, iron.
I will make your overseers peace
    and your taskmasters righteousness.
18 Violence shall no more be heard in your land,
    devastation or destruction within your borders;
you shall call your walls Salvation,
    and your gates Praise.

19 The sun shall be no more
    your light by day,
nor for brightness shall the moon
    give you light;
but the Lord will be your everlasting light,
    and your God will be your glory.
20 Your sun shall no more go down,
    nor your moon withdraw itself;
for the Lord will be your everlasting light,
    and your days of mourning shall be ended.
21 Your people shall all be righteous;
    they shall possess the land forever,
the branch of my planting, the work of my hands,
    that I might be glorified.
22 The least one shall become a clan,
    and the smallest one a mighty nation;
I am the Lord;
    in its time I will hasten it.

Through the Prophet Isaiah, God gives us a beautiful picture and promise of the future glory of the City of God. In the satisfaction and strengthening we receive from God, we have an important and wonderful part to play in the fulfillment of this picture-promise. We are to shine! Shine the glory of God revealed to us into a dark world.

Here are a couple things to think about from this passage:

Arise and Shine (Verses 1-3)

We must arise and shine because behold, darkness shall cover the earth And, the nations will be drawn to the light of Jesus as we shine. We live in a dark world, but Jesus has shined on us. We have seen His light and now have a chance to shine as Jesus draws those living in darkness to His marvelous light. Let’s shine!

Come and Bow before the King (Verses 4-13)

These verses paint a beautiful picture of people from all over the earth gathering to the City of God, worshipping Him, bringing the choicest offerings, and bowing before Him. As we think about how wonderful it would be to see the nations gathering to Him in this way, it is important that we remember that we are a part of the gathered assembly. We come and bow before him, we worship and praise Him, and we bring Him ourselves as living sacrifices to Him. Let us bow before Jesus once again and offer ourselves to His service, as He brings the nations to Himself.

His Kingdom Come (Verses 13-14)

God does these things to build and beautify His eternal dwelling place: His people, the Church. And, King Jesus is going to rule and reign in us and through us forever. Ephesians 1:21 far above all rule and authority and power and dominion, and above every name that is named, not only in this age but also in the one to come. 22 And he put all things under his feet and gave him as head over all things to the church, 23 which is his body, the fullness of him who fills all in all. Will you let your King rule and reign in you and usher in His Kingdom through you?

Hope in the Eternal (Verses 15-22)

One day, everything will be perfect. There is be no more dark or sin. Jesus will be our everlasting light. We will be majestic forever, a joy from age to age. We will possess the new heavens and the new earth for all of eternity for the sake of God’s glory. Can you live in the now with your hope set on eternity?

Trust His Perfect Timing (Verse 22)

I am the Lord; in its time I will hasten it. He will do it in His perfect timing. He will do it. We can’t do it. Can we trust Him? Can we wait on Him? Will we not grow weary in doing good? Can we keep our faith, hope, and joy as we wait? Will be persevere and endure?

Let’s pray this prayer out of Ephesians 3:

20 Now to him who is able to do far more abundantly than all that we ask or think, according to the power at work within us, 21 to him be glory in the church and in Christ Jesus throughout all generations, forever and ever. Amen.

—-

อิสยาห์ 60

1 “จงลุกขึ้น จงส่องสว่าง เพราะแสงสว่างของเจ้าได้มาถึงแล้ว
    และพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าได้อยู่เหนือตัวเจ้าแล้ว
2 ดูเถิด ความมืดจะปกคลุมแผ่นดินโลก
    และความมืดมนจะปกคลุมบรรดาชนชาติ
แต่พระผู้เป็นเจ้าจะทอแสงมายังเจ้า
    และพระบารมีของพระองค์จะเป็นที่ประจักษ์บนตัวเจ้า
3 และบรรดาประชาชาติจะมาที่แสงสว่างของเจ้า
    และบรรดากษัตริย์ก็จะมาที่ความสุกสว่างแห่งความรุ่งโรจน์ของเจ้า

4 จงเงยหน้าขึ้นและมองดูรอบๆ ตัว
    เขาทั้งปวงประชุมร่วมกันและมาหาเจ้า
บรรดาบุตรชายของเจ้าจะมาจากแดนไกล
    และจะมีคนอุ้มบุตรหญิงของเจ้าเข้าสะเอวมา
5 เจ้าจะเห็นและยิ้มแย้ม
    ใจของเจ้าจะยินดีและเบิกบานมาก
เพราะความมั่งมีจากทั่วโลกจะถูกนำมาให้เจ้า
    ความมั่งคั่งของบรรดาประชาชาติจะมาหาเจ้า
6 ฝูงอูฐจะอยู่ทั่วแผ่นดินของเจ้า
    อูฐตัวน้อยๆ ของชาวมีเดียนและเอฟาห์
    อูฐขบวนยาวจะมาจากเช-บา
พวกมันจะนำทองคำและกำยาน
    และประชาชนจะนำข่าวอันประเสริฐ สรรเสริญแด่พระผู้เป็นเจ้า
7 ฝูงแพะแกะแห่งเคดาร์จะถูกรวมเข้าด้วยกัน
    แกะผู้แห่งเนบาโยทจะปรนนิบัติรับใช้เจ้า
พวกมันจะเป็นที่ยอมรับสำหรับแท่นบูชาของเรา
    และเราจะแต่งตำหนักของเราให้สวยงาม

8 คนเหล่านี้เป็นใครที่ลอยได้อย่างก้อนเมฆ
    และอย่างนกพิราบที่บินไปเกาะหน้าต่าง
9 เพราะหมู่เกาะต่างๆ จะมีความหวังในตัวเรา
    เรือจากเมืองทาร์ชิชแล่นนำหน้ามา
เพื่อนำบรรดาบุตรของเจ้ามาจากแดนไกล
    นำเงินและทองคำติดตัวมาด้วย
เพื่อพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า
    และเพื่อองค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอล
    เพราะพระองค์ทำให้เจ้าสวยงาม

10 บรรดาชาวต่างชาติจะสร้างกำแพงของเจ้า
    และบรรดากษัตริย์ของพวกเขาจะปรนนิบัติรับใช้เจ้า
ด้วยว่า เราลงโทษเจ้าเมื่อเราโกรธกริ้ว
    แต่เราได้มีเมตตาต่อเจ้าเมื่อเราโปรดปราน
11 ประตูของเจ้าจะเปิดเสมอไป
    มันจะไม่ถูกปิดทั้งกลางวันและกลางคืน
เพื่อผู้คนจะนำความมั่งคั่งของบรรดาประชาชาติมาให้แก่เจ้า
    พร้อมกับบรรดากษัตริย์ของพวกเขาที่ถูกนำมาในขบวนแห่
12 ด้วยว่า ประชาชาติและอาณาจักร
    ที่ไม่รับใช้เจ้าจะรกร้าง
    ประชาชาติเหล่านั้นจะถูกทำลายจนสิ้นซาก
13 ความสง่างามของเลบานอนจะเป็นของเจ้า
    ทั้งต้นสน ต้นเพลนและต้นสนไซเปร็ส
จะทำให้ที่พำนักของเราสวยงาม
    และเราจะทำให้ที่วางเท้าของเราสง่างาม
14 บรรดาบุตรของพวกที่ก่อความเดือดร้อนให้กับเจ้า
    จะมาก้มคารวะเจ้า
และคนทั้งหลายที่ดูหมิ่นเจ้า
    จะหมอบลงที่เท้าเจ้า
พวกเขาจะเรียกชื่อเจ้าว่า เมืองของพระผู้เป็นเจ้า
    ศิโยนขององค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอล

15 แม้ว่าเจ้าถูกทอดทิ้งและเกลียดชัง
    และไม่มีผู้ใดเดินทางผ่านมา
เราจะทำให้เจ้ายิ่งใหญ่ตลอดกาล
    เป็นความยินดีทุกชั่วอายุคน
16 เจ้าจะดื่มนมจากบรรดาประชาชาติ
    เจ้าจะดื่มจากอกของบรรดากษัตริย์
และเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า
    เป็นผู้ช่วยให้รอดพ้นของเจ้า
    ผู้ไถ่ของเจ้า องค์ผู้มีอานุภาพของยาโคบ
17 เราจะนำทองคำแทนทองสัมฤทธิ์
    และเงินแทนเหล็ก
นำทองสัมฤทธิ์แทนไม้
    และเหล็กแทนหิน
เราจะทำให้ความสันติสุขดูแลเจ้า
    และให้ความชอบธรรมเป็นผู้คุมเจ้า
18 จะไม่เกิดความรุนแรงในแผ่นดินของเจ้าอีกต่อไป
    ไม่มีความงงงันหรือความพินาศภายในเขตแดนของเจ้า
เจ้าจะเรียกกำแพงเมืองของเจ้าว่า ‘ความรอดพ้น’
    และเรียกประตูเมืองของเจ้าว่า ‘สรรเสริญ’
19 เวลากลางวันจะไม่มีดวงอาทิตย์เป็นแสงสว่างของเจ้าอีกต่อไป
    และดวงจันทร์จะไม่ส่องความสว่างให้แก่เจ้า
แต่พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นแสงอันเป็นนิรันดร์ของเจ้า
    และพระเจ้าของเจ้าจะเป็นสง่าราศีของเจ้า
20 ดวงอาทิตย์ของเจ้าจะไม่ลับฟ้าอีกต่อไป
    และดวงจันทร์จะไม่เลือนจากไป
เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นแสงอันเป็นนิรันดร์ของเจ้า
    และวันเศร้าโศกของเจ้าจะสิ้นสุดลง
21 ชนชาติของเจ้าทุกคนจะมีความชอบธรรม
    พวกเขาจะเป็นเจ้าของแผ่นดินไปตลอดกาล
เป็นกิ่งก้านที่เราปลูก
    คือผลงานจากฝีมือของเรา
    เพื่อบารมีของเราจะเป็นที่ประจักษ์
22 ผู้ที่ด้อยสุดจะสร้างตระกูลขึ้นมา
    และเป็นประชาชาติที่ใจฉกาจ
เราคือพระผู้เป็นเจ้า
    เมื่อถึงเวลาเราจะให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว”

ในอิสยาห์ พระเจ้าสัญญาอย่างสวยงามถึงพระศิริของเมืองของพระเจ้าในอนาคต หลังจากพอใจและเสริมกำลังจากพระเจ้า เราก็มีหน้าที่สำคัญ เราต้องส่องสว่างของพระเยซูสู่โลกมืด

นี่คือสิ่งที่ควรคำนึงถึงจากข้อนี้:

ลุกขึ้นและส่องสว่าง (ข้อ 1-3)

เราต้องส่องแสงเพราะความมืดปกคลุมโลก พระเยซูส่องแสงมาที่เรา และตอนนี้เราเป็นความสว่างของโลก ผู้คนจะมาหาพระเยซูเมื่อพวกเขาเห็นแสงสว่างของเรา มาส่องแสงเพื่อพระเยซูกันเถอะ!

มาหมอบลงที่กษัตริย์พระเยซู (ข้อ 4-13)

ข้อ 4-13 แสดงให้ว่าประชาชาติในโลกมา รวมตัวกันที่พระเยซู นำเครื่องบูชาที่ดีที่สุด กราบลงนมัสการพระองค์ มันไม่ใช่แค่ผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียนเท่านั้น เราต้องจำไว้ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการชุมนุมที่รวมตัวกัน ให้เรากราบลงต่อพระเยซูและถวายตัวเป็นเครื่องบูชาแด่พระองค์

ราชอาณาจักรของพระองค์มา (ข้อ 13-14)

พระเจ้าทำสิ่งเหล่านี้เพื่อสร้างและทำให้ที่อยู่อาศัยนิรันดร์ของพระองค์สวยงาม: ชนชาติของพระองค์ซึ่งเป็นคริสตจักรของพระเยซู เอเฟซัส 1:21 สูงเหนือบรรดาผู้อยู่ในระดับปกครองและผู้มีสิทธิอำนาจ เหนืออานุภาพและอาณาจักรทั้งปวง เหนือนามทุกนาม ไม่เพียงในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคที่จะถึงด้วย 22 พระเจ้าโปรดให้ทุกสิ่งอยู่ภายใต้เท้าของพระคริสต์ และให้พระองค์เป็นเสมือนศีรษะซึ่งเหนือทุกสิ่งเพื่อคริสตจักร 23 และคริสตจักรก็เป็นเสมือนกายของพระองค์ และเป็นความบริบูรณ์ของพระองค์ผู้ทำให้ทุกสิ่งเต็มเปี่ยมได้ คุณจะปล่อยให้กษัตริย์ของคุณปกครองและครอบครองคุณและนำอาณาจักรของพระองค์มายังโลกนี้ผ่านทางคุณหรือไม่?

วางใจในเวลาอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ (ข้อ 22)

เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อถึงเวลาเราจะให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พระเจ้าจะทรงทำในเวลาอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ พระองค์จะทำมันอย่างแน่นอน เราทำไม่ได้ เราจะวางใจพระองค์ได้ไหม? เรารอพระองค์ได้ไหม? เราจะไม่ท้อถอยต่อการกระทำความดีไหม? เราจะรักษาความเชื่อ ความหวัง และความชื่นชมยินดีไหม? จะอดทนอดกลั้นและยืนหยัดไหวไหม?

มาอธิษฐานด้วยกัน:

เอเฟซัส 3:20 แด่พระองค์ผู้มีอานุภาพที่สำแดงอยู่ในพวกเรา พระองค์สามารถกระทำกิจได้มากมายโดยมิอาจประมาณได้ และเกินกว่าที่เราจะขอหรือคาดคิดได้ 21 ขอพระบารมีจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักรและในพระเยซูคริสต์ทุกชั่วอายุคนชั่วนิรันดร์กาลเถิด อาเมน

Day 2 - Strengthened วันที่ 2 - พละกำลัง

Isaiah 52

1 Awake, awake,
put on your strength, O Zion;
put on your beautiful garments,
O Jerusalem, the holy city;
for there shall no more come into you
the uncircumcised and the unclean.
2
Shake yourself from the dust and arise;
be seated, O Jerusalem;
loose the bonds from your neck,
O captive daughter of Zion.

As with the Apostle Peter, Jesus restores those He redeems. This passage in Isaiah 52 speaks of God’s promise of future restoration in response to God’s work of redemption from their enemies. Let’s look at some ways that God restores us:

put on your strength

Nehemiah 8:10 And do not be grieved, for the joy of the Lord is your strength. Nehemiah shows us that the proper response to our redemption is celebration and joy. We are not to be grieved but rather put on the strength that is the joy that comes from God. Let’s put on joy!

put on your beautiful garments

Do you feel like God favors you? In the Bible beautiful clothes speak of favor. In what ways are you not living in the approval, acceptance, and favor Jesus won for you on the Cross?

Shake yourself from the dust and arise; be seated

In the Bible sitting in dust without a seat is a sign of defeat and having no authority. (Isaiah 47:1 Come down and sit in the dust, O virgin daughter of Babylon; sit on the ground without a throne, O daughter of the Chaldeans!) Do you feel like more than a conquerer? Or, do you feel defeated? Let’s pray and ask God to help us live in Christ’s victory and authority!

loose the bonds from your neck,

In what ways are you still carrying the marks of slavery? Whether it’s sins you’ve committed or sins that have been committed against you? Do you carry guilt, shame, condemnation? Do you have bitterness, unforgiveness, or resentment? What fears do you still carry? Fear of man, fear of failure, fear of rejection, fear of abandonment? Let’s pray and ask God to remove these chains from us.

___

อิสยาห์ 52

1 ตื่นเถิด ตื่นเถิด โอ ศิโยนเอ๋ย
จงสวมพละกำลังของเจ้า
โอ เยรูซาเล็มเมืองบริสุทธิ์เอ๋ย
จงสวมเสื้อตัวงามของเจ้า
เพราะจะไม่มีผู้ใดที่ไม่ได้เข้าสุหนัตและไม่บริสุทธิ์
จะเข้ามาในเมืองเจ้าอีกต่อไป
2 จงสะบัดฝุ่นออกจากตัวเจ้าและลุกขึ้น
โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย จงนั่งลง
โอ ธิดาแห่งศิโยนซึ่งเป็นเชลยเอ๋ย
จงคลายโซ่ออกจากคอเจ้า

เช่นเดียวกับอัครสาวกเปโตร พระเยซูทรงฟื้นฟูผู้คนที่พระองค์ทรงไถ่บาป ข้อพระคัมภีร์นี้ในอิสยาห์ 52 กล่าวถึงพระสัญญาของพระเจ้าเรื่องการฟื้นฟูในอนาคตหลังจากงานการไถ่บาปของพระเจ้า มาดูกันว่าพระเจ้าฟื้นฟูเราอย่างไร:

จงสวมพละกำลังของเจ้า

เนหะมีย์ 8:10 และอย่าเศร้าโศก เพราะการชื่นชมยินดีในพระผู้เป็นเจ้าเป็นกำลังของท่าน เนหะมีย์แสดงให้เราเห็นว่าการตอบสนองที่เหมาะสมต่อการไถ่ของเราคือการเฉลิมฉลองและความชื่นชมยินดี เราไม่ควรเศร้าโศก แต่จงเพิ่มกำลังซึ่งเป็นความชื่นชมยินดีที่มาจากพระเจ้า มาสร้างความชื่นชมยินดีกันเถอะ!

จงสวมเสื้อตัวงามของเจ้า

คุณรู้สึกว่าพระเจ้าโปรดปรานคุณหรือไม่? ในพระคัมภีร์ เสื้อผ้าที่สวยงามพูดถึงความโปรดปราน คุณไม่ได้อยู่ในความโปรดปราน การยอมรับ และความโปรดปรานที่พระเยซูทรงได้รับบนไม้กางเขนเพื่อคุณในทางใดบ้าง

จงสะบัดฝุ่นออกจากตัวเจ้าและลุกขึ้น; งนั่งลง

ในพระคัมภีร์การนั่งอยู่ในฝุ่นโดยไม่มีที่นั่ง เป็นการแสดงถึงความพ่ายแพ้และไม่มีอำนาจ (อิสยาห์ 47:1 โอ ธิดาพรหมจารีแห่งบาบิโลนเอ๋ยจงลงมานั่งในฝุ่นนั่งบนพื้นดินโดยไม่มีบัลลังก์ โอ ธิดาของชาวเคลเดีย) คุณรู้สึกเหมือนเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตหรือไม่? หรือคุณรู้สึกพ่ายแพ้? มาอธิษฐานและขอให้พระเจ้าช่วยเราดำเนินชีวิตในชัยชนะและสิทธิอำนาจของพระคริสต์!

จงคลายโซ่ออกจากคอเจ้า

คุณยังเป็นเหมือนทาสได้อย่างไร? ไม่ว่าบาปที่คุณทำหรือบาปที่คนอื่นทำกับคุณ? คุณมีความผิด ความละอาย การลงโทษหรือไม่? คุณมีความความรุนแรง การไม่ให้อภัย หรือความขุ่นเคืองใจหรือไม่? คุณยังคงกลัวอะไรอยู่? กลัวสายตาคนอื่น กลัวความล้มเหลว กลัวการถูกปฏิเสธ กลัวการถูกทอดทิ้ง? มาอธิษฐานและขอให้พระเจ้าขจัดความเป็นทาสออกจากเรา

Day 1 - Satisfaction วันที่ 1 - ความพึงพอใจ

Psalm 90

1 Lord, you have been our dwelling place

in all generations.

2 Before the mountains were brought forth,

or ever you had formed the earth and the world,

from everlasting to everlasting you are God.

3 You return man to dust

and say, “Return, O children of man!”

4 For a thousand years in your sight

are but as yesterday when it is past,

or as a watch in the night.

5 You sweep them away as with a flood; they are like a dream,

like grass that is renewed in the morning:

6 in the morning it flourishes and is renewed;

in the evening it fades and withers.

7 For we are brought to an end by your anger;

by your wrath we are dismayed.

8 You have set our iniquities before you,

our secret sins in the light of your presence.

9 For all our days pass away under your wrath;

we bring our years to an end like a sigh.

10 The years of our life are seventy,

or even by reason of strength eighty;

yet their span is but toil and trouble;

they are soon gone, and we fly away.

11 Who considers the power of your anger,

and your wrath according to the fear of you?

12 So teach us to number our days

that we may get a heart of wisdom.

13 Return, O Lord! How long?

Have pity on your servants!

14 Satisfy us in the morning with your steadfast love,

that we may rejoice and be glad all our days.

15 Make us glad for as many days as you have afflicted us,

and for as many years as we have seen evil.

16 Let your work be shown to your servants,

and your glorious power to their children.

17 Let the favor of the Lord our God be upon us,

and establish the work of our hands upon us;

yes, establish the work of our hands!

As human beings, we are both never satisfied and too easily satisfied. We are never fully satisfied because we are too easily satisfied by things that do not really satisfy.

John Piper writes: “If you don't feel strong desires for the manifestation of the glory of God, it is not because you have drunk deeply and are satisfied. It is because you have nibbled so long at the table of the world. Your soul is stuffed with small things, and there is no room for the great.”

As we fast, let’s be meditating around the following things from Psalm 90:

Verses 1-2 You have been our dwelling place in all generations … before … you had formed the earth and the world

Where is your dwelling place? Is it this world or is it God? Let’s pray and ask God to help us remember that our home is not here, it is not this earth. Our home is in heaven in and with God.

Verse 6 in the morning it flourishes and is renewed; in the evening it fades and withers.

What are some areas in your life, in your soul that once flourished that have now faded or withered? Let’s pray and ask God for renewal.

Verse 12 So teach us to number our days that we may get a heart of wisdom.

Sometimes we feel like every day is the same and that we will live forever. It makes us falsely believe that how we spend our days doesn’t matter. Actually, we only get 1 chance at life, and our days are numbered. We have a wonderful opportunity to use our limited number of days to impact eternity.

In what ways are you wasting time or wasting opportunities? Let’s pray and ask God for the wisdom of living life with an eternal perspective.

Verse 14 Satisfy us in the morning with your steadfast love, that we may rejoice and be glad all our days.

What are the things you look to satisfy you? Money, food, alcohol, sex, entertainment? Can those things bring you real joy and happiness? Let’s pray and ask God to satisfy us with His love.

___

สดุดี 90

พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เป็นที่พึ่งพิงของพวกเรา
    ทุกชั่วอายุคน
พระองค์เป็นพระเจ้าจากนิรันดร์กาลจนถึงนิรันดร์กาล
    ก่อนที่จะสร้างภูเขา พื้นแผ่นดิน และโลก

พระองค์ทำให้มนุษย์กลับสภาพไปเป็นผงคลีโดยกล่าวว่า
    “กลับไปเถิด ลูกๆ ของมนุษย์เอ๋ย”
ด้วยว่าในสายตาของพระองค์ 1,000 ปี
    เป็นเหมือนกับวันเดียวที่ผ่านไป
    ดั่งยามเดียวในตอนค่ำ
พระองค์ทำให้ชีวิตของพวกเขาสิ้นสุดลงโดยฉับพลัน
    ดุจหญ้าที่งอกขึ้นใหม่ในยามเช้า
ในยามเช้ามันมีชีวิตชีวา และงอกขึ้นมา
    พอยามเย็นมันก็เอนลู่ลงเหี่ยวเฉาไป

ด้วยว่า พวกเราถูกทำลายด้วยความกริ้วของพระองค์
    และการลงโทษของพระองค์ทำให้เราหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ความชั่วของพวกเราไม่อาจหนีพ้นพระองค์
    แม้บาปกระทำในที่ลับก็กลับกระจ่าง ณ เบื้องหน้าพระองค์
เพราะวันเวลาผ่านไปภายใต้การลงโทษของพระองค์
    ชีวิตของเราสิ้นสุดลงดั่งการถอนหายใจ
10 อายุขัยของเราคือ 70 ปี
    หรือไม่ก็อาจถึง 80 ปีหากว่าเป็นคนแข็งแรง
ถึงกระนั้นในช่วงชีวิตยังมีความทุกข์ยากและลำบาก
    ไม่ช้าก็หมดไป และเราก็บินจากไป
11 ใครทราบถึงอานุภาพของความกริ้วของพระองค์
    และใครจะทราบว่า การลงโทษของพระองค์น่าหวาดหวั่นเพียงไร
12 ฉะนั้น โปรดสอนพวกเราให้นึกถึงวันเวลาว่าล่วงไปอย่างรวดเร็ว
    เราจะได้รับสติปัญญาจากพระเจ้าไว้ในจิตใจ
13 หันกลับมาเถิด โอ พระผู้เป็นเจ้า จะอีกนานเพียงไร
    โปรดสงสารบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์เถิด
14 ให้พวกเราพอใจกับความรักอันมั่นคงของพระองค์ในยามเช้าเถิด
    และเราจะเปล่งเสียงร้องด้วยความยินดีตลอดชีวิต
15 ให้พวกเราได้รับความยินดีมากเท่ากับความยากลำบากที่พระองค์ให้เราได้รับ
    และนานหลายปีเท่าๆ กับความยากลำบากที่พวกเราประสบ
16 ขอให้การกระทำของพระองค์เป็นที่ประจักษ์แก่บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์
    และความยิ่งใหญ่ของพระองค์แก่ลูกหลานของเขาเถิด
17 ให้ความพึงพอใจของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราอยู่กับพวกเราเถิด
    ขอพระองค์เสริมสร้างสิ่งที่พวกเรากระทำเพื่อพวกเรา
    โปรดเสริมสร้างสิ่งที่พวกเรากระทำด้วยเถิด

 

เพราะเราเป็นมนุษย์ เราไม่เคยพอใจและพอใจง่ายเกินไป เราไม่เคยพอใจอย่างเต็มที่เพราะเราพอใจง่ายเกินไปกับสิ่งที่ไม่พึงพอใจอย่างแท้จริง

จอห์น ไพเพอร์ เขียนว่า “ถ้าคุณไม่รู้สึกถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการสำแดงพระสิริของพระเจ้า นั่นไม่ใช่เพราะคุณดื่มหนักและพึงพอใจ เป็นเพราะคุณแทะโต๊ะของโลกมาช้านาน จิตวิญญาณของคุณเต็มไปด้วยสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ และไม่มีที่ว่างสำหรับสิ่งที่ยิ่งใหญ่”

 

เมื่อเราอดอาหาร เรามาใคร่ครวญสิ่งต่อไปนี้จากสดุดี 90:

 

ข้อ 1-2 พระองค์เป็นที่พึ่งพิงของพวกเราทุกชั่วอายุคน … ก่อนที่จะสร้าง … พื้นแผ่นดิน และโลก

ที่อยู่อาศัยของคุณอยู่ที่ไหน มันคือโลกนี้หรือเป็นพระเจ้า? มาอธิษฐานและขอให้พระเจ้าช่วยเราให้ระลึกว่าบ้านของเราไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ใช่โลกนี้ บ้านของเราอยู่ในสวรรค์และอยู่กับพระเจ้า

 

ข้อ 6 ในยามเช้ามันมีชีวิตชีวา และงอกขึ้นมา พอยามเย็นมันก็เอนลู่ลงเหี่ยวเฉาไป

ส่วนไหนในชีวิตหรือจิตวิญญาณของคุณที่เคยมีชีวิตชีวาและงอกขึ้นมา แต่ตอนนี้มันก็เอนลู่ลงเหี่ยวเฉาไป? มาอธิษฐานขอพระเจ้ารักษาและฟื้นฟู

 

ข้อ 12 ฉะนั้น โปรดสอนพวกเราให้นึกถึงวันเวลาว่าล่วงไปอย่างรวดเร็ว เราจะได้รับสติปัญญาจากพระเจ้าไว้ในจิตใจ

บางครั้งเรารู้สึกว่าทุกวันเหมือนเดิมและเราจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป มันทำให้เราเชื่ออย่างผิด ๆ ว่าเราใช้ชีวิตอย่างไรไม่สำคัญ จริง ๆ แล้วเรามีโอกาสในชีวิตเพียง 1 ครั้ง และวันเวลาของเรามีเลขหมาย และเรามีโอกาสที่ยอดเยี่ยมที่จะใช้วันเวลาของเราเพื่อสร้างผลกระทบนิรันดร์

คุณเสียเวลาหรือเสียโอกาสอย่างไร? อธิษฐานต่อพระเจ้าและขอให้พระองค์ช่วยเราดำเนินชีวิตด้วยมุมมองนิรันดร์

 

ข้อ 14 ให้พวกเราพอใจกับความรักอันมั่นคงของพระองค์ในยามเช้าเถิด และเราจะเปล่งเสียงร้องด้วยความยินดีตลอดชีวิต

อะไรคือสิ่งที่คุณมองหาเพื่อความพึงพอใจ? เงิน อาหาร เหล้า เซ็กส์ นันทนาการ? สิ่งเหล่านั้นทำให้เรามีความสุขได้จริงหรือ? มาอธิษฐานและขอให้พระเจ้าทำให้เราพอใจด้วยความรักของพระองค์

Why do we fast? ทำไมเราอดอาหาร

Why do we fast at One Light Church? Unlike for Muslims during Ramadan, fasting is not something that is legally required of us as Christians. It is a voluntary spiritual discipline that we engage in, to remind ourselves and declare — by more than words — that we depend on God more than we depend on the things of the flesh.

John Piper describes fasting in this way:

Fasting is a temporary renunciation of something that is in itself good, like food, in order to intensify our expression of need for something greater, namely God and His work in our lives.

In the Bible, Jesus predicted that His disciples would be a fasting people:

Then the disciples of John came to him, saying, “Why do we and the Pharisees fast, but your disciples do not fast?” And Jesus said to them, “Can the wedding guests mourn as long as the bridegroom is with them? The days will come when the bridegroom is taken away from them, and then they will fast. (Matthew 9:14-15)

And, they proved Him right. It was an essential part of the story of God’s mission to the Gentiles:

While they were worshiping the Lord and fasting, the Holy Spirit said, “Set apart for me Barnabas and Saul for the work to which I have called them.” Then after fasting and praying they laid their hands on them and sent them off. (Acts 13:2-3)

There is a connection between fasting and our desire and longing for God and His Kingdom, and there are many examples in the Bible of God being moved into action based on prayer with fasting. We have to remember that our God is a jealous God (Deuteronomy 4:24), and He notices when we fast (Matthew 6:18). He seems to be compelled by the expressed affection of His beloved.

However, we do not fast in order to get something from God. A man might buy his wife flowers because he’s done something wrong or because he wants to get something from her. Or, a man might buy his wife flowers simply to say “I love you,” and the flowers (and their associated cost) lend help to the man in expressing the sincerity of his affection for his wife.

In a way, fasting is like the flowers we bring to God as we tell Him, “Thank you for giving me so many good gifts, including the food you give me to eat, but I just want you to know that I love you and need you more than any of those other things.

Isn’t Jesus worth giving up three days of food, or whatever else competes for our affection for Him? Not because we need anything from Him, but simply because we want to show Him that we want Him more than anything else.

___

ในขณะที่เราได้เริ่มอดอาหารอธิษฐานกัน ผมได้รับคำถามจากคนที่ไม่เคยอดอาหารอธิษฐานมาก่อน ว่าทำไมคริสเตียนถึงอดอาหารอธิษฐานกัน ผมอยากจะพูดถึงคร่าวๆ ว่าผมรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการอดอาหารอธิษฐานครั้งนี้  การอดอาหารอธิษฐานของเราไม่เหมือนกับที่ชาวมุสลิมทำกันในช่วงเดือนถือศีลอด(รอมฎอณ) และมันไม่กฏบังคับสำหรับคริสเตียนเรา แต่คือการกระทำโดยสมัครใจที่จะมีวินัยฝ่ายวิญญาณในการร่วมการอดอาหารอธิษฐาน และเพื่อย้ำเตือนและประกาศออกไปโดยมากกว่าคำพูดของเรา ว่าเราพึ่งพาพระเจ้ามากกว่าที่เราพึ่งพาสิ่งรอบกายของเรา

จอห์น ไพป์เปอร์ อธิบายถึงการอดอาหารอธิษฐานว่า:

การอดอาหารอธิฐานคือการยอมเสียสละสิ่งที่ดีชั่วคราว เช่นอาหาร เพื่อที่จะแสดงออกถึงความต้องการในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าอย่างจริงจัง นั่นคือพระเจ้าและภารกิจของพระองค์ในชีวิตของเรา 

ในพระคัมภีร์ พระเยซูได้พยากรณ์ถึงว่าสาวกของพระองค์เรื่องการอดอาหารอธิษฐานว่า

14ครั้น​แล้ว​บรรดา​สาวก​ของ​ยอห์น​มา​พูด​กับ​พระ​องค์​ว่า “ทำไม​พวก​เรา​และ​บรรดา​ฟาริสี​อดอาหาร แต่​พวกสาวก​ของ​ท่าน​ไม่​อดอาหาร”15พระ​เยซู​กล่าว​กับ​เขา​เหล่า​นั้น​ว่า “พวก​แขก​ของ​เจ้าบ่าว​จะ​เป็น​ทุกข์​ได้​อย่างไร​ขณะที่​เจ้าบ่าว​อยู่​กับ​เขา แต่​เมื่อ​ถึง​เวลา​ที่​เจ้าบ่าว​ถูก​พา​ตัว​ไป​จาก​พวก​เขา เขา​จึง​จะ​อดอาหาร (มัทธิว 9:14-15) 

และนั่นก็เป็นไปตามที่พระองค์พยากรณ์ นี่เป็นส่วนสำคัญของเรื่องราวของพันธกิจของพระเจ้าต่อคนต่างชาติ

2ขณะ​ที่​คน​เหล่า​นี้​กำลัง​นมัสการ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​และ​อด​อาหาร​อยู่ พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​กล่าว​ว่า “จง​แต่งตั้ง​บาร์นาบัส​และ​เซาโล​เพื่อ​ปฏิบัติ​งาน​ที่​เรา​ได้​เรียก​ตัว​ไว้​ใช้” 3หลัง​จาก​ที่​ทั้ง​กลุ่ม​อด​อาหาร​และ​อธิษฐาน​เสร็จ​สิ้น​แล้ว ก็​วาง​มือ​บน​ตัว​บาร์นาบัส​และ​เซาโล แล้ว​จึง​ให้​ทั้ง​สอง​ออก​เดิน​ทาง​ไป (กิจการ 13:2-3)

และยังมีการเชื่อมต่อกันระหว่างการอดอาหารกับความต้องการของเรา รวมถึงความปรารถนาต่อพระเจ้าและแผ่นดินของพระองค์ และยังมีตัวอย่างอีกมากมายในพระคัมภีร์ ที่พระเจ้าได้เริ่มกระทำบางสิ่งบางอย่างในขณะที่เราอดอาหารอธิษฐาน เราต้องจำไว้เสมอว่าพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่หวงแหน (เฉลยธรรมบัญญัติ 4:24)  และพระองค์รู้เกี่ยวกับการอดอาหารอธิษฐานของเรา (มัทธิว 6:18) ดูเหมือนว่าพระเจ้าต้องการที่จะตอบสนองต่อความรักที่เราแสดงออกต่อพระองค์

อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้อดอาหารอธิษฐานเพื่อจะเอาบางสิ่งบางอย่างจากพระเจ้า  ผู้ชายอาจจะซื้อดอกไม้ให้ภรรยาของเขา เพราะว่าเขาได้ทำผิดบางอย่าง หรือเพราะว่าเขาต้องการที่จะได้อะไรบางอย่างจากภรรยา หรือผู้ชายอาจจะซื้อดอกไม้ให้ภรรยาเพียงเพื่อต้องการจะบอกว่า ผมรักคุณ และดอกไม้และค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เขาได้จ่ายไป ได้ช่วยให้เขาสามารถแสดงความรักอย่าสงจริงใจต่อภรรยาของเขาได้

เหมือนกันคือ การอดอาหารอธิฐานคือดอกไม้ที่เรานำมามอบให้กับพระเจ้า และบอกกับพระองค์ว่าขอบคุณที่พระองค์ทรงได้มอบของขวัญที่ดีมากมายให้กับลูก รวมถึงอาหารที่พระองค์เตรียมให้เราได้กิน แต่ลูกอยากจะบอกกับพระองค์ว่า ลูกรักพระองค์และต้องการพระองค์มากกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด

พระเยซูทรงคู่ควรที่เราจะยอมอดอาหารที่เราจะกินในสามวัน หรืออดสิ่งอื่นที่ทำให้เราไม่สามารถแสดงความรักต่อพระองค์ได้ใช่ไหมครับ 

ที่กล่าวไปทั้งหมด คือความรู้สึกของผมที่มีต่อการอดอาหารอธิษฐานในชุมชนนี้ของเรา

อดอาหาร  ตุลาคม  2021

อดอาหาร  ตุลาคม  2021

สวัสดีทุกคน ผมหวังว่าคุณจะสบายดีและสามารถเข้าร่วมการอธิษฐานอดอาหารกับเรา ผมหวังว่าจะแสวงหาพระเจ้าและนมัสการร่วมกับคุรในอีก 3 วันข้างหน้า

ขณะที่เราได้เริ่มอดอาหาร ได้มีลางสังหรณ์ที่ครอบคลุมสิ่งที่เรามีเกี่ยวกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง, การรักษา, และการเตรียมผู้คนของเราสำหรับเส้นทางข้างหน้า—จากภาพของไคลฟ์ เบเกอร์ในเดือนสิงหาคม 2020 ที่เป็นภาพของคานเหล็กขึ้นสนิมถูกแทนที่ด้วยตัวค้ำยันสแตนเลสในรูปแบบของพระเยซูและคำพูดล่าสุดของเรเน่ที่เกี่ยวกับการเสนอตัวของเราต่อพระเจ้า ช่างตีเหล็กของพวกเรา

การอดอาหารในครั้งนี้มีความรู้สึกที่แตกต่างจากการอดอาหารในครั้งก่อน: รู้สึกหนักมากกว่า, สำคัญมากกว่า, และมีความเร่งด่วนกว่าเช่นกัน

สำหรับไม่กี่วันและม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า ทีมผู้นำได้พยายามแสวงหาพระเจ้าในแง่ของสิ่งที่พระองค์ประสงค์ที่จะทำ และวิธีที่พระองค์ต้องการให้เราอดอาหารในครั้งนี้ และเมื่อคืนนี้เอง ผมได้มีความฝันทั้งหมด 3 ชุดด้วยกัน ซึ่งผมเชื่อว่ามาจากพระเจ้าและพระองค์ทรงตั้งใจจะบอกทิศทางสำหรับการอดอาหารแก่พวกเรา

ความฝันที่ 1

ในความฝันแรก พวกเราได้สร้างแผ่นดินขึ้นในดินแดนใหม่ เป็นเมืองชายทะเลที่มีชายฝั่งและแสงไฟของเมืองในเวลากลางคืน มีพื้นที่ชานเมืองที่มีบ้านเรือนสวยงามมากมาย พวกเรามาถึงฝั่งด้วยเรือไม้แบบโบราณ ราวกับเรือโจรสลัดจากภาพยนต์เรื่อง Pirates of the Caribbean  

สิ่งที่เห็นได้ชัดในความฝันคือการที่เรามีพันธกิจและหน้าที่หลากหลายอย่างที่ต้องทำ (เช่นเดียวกับในวิดีโอเกมแบบเปิดกว้าง) ในสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในเมืองและในเขตชานเมือง สิ่งสำคัญคือเราต้องทำความเข้าใจแผนที่ของเมือง ทั้งถนนและเส้นทางต่าง ๆ ที่จำเป็นในการเดินทางในครั้งนี้เป็นอย่างดี และควรรู้ว่าพวกเราจำเป็นที่จะต้องไปเยี่ยมบ้านหลังไหนหรือใครบ้าง

หลังจากเริ่มเหยียบพื้นดินแล้ว ผมกลับไปที่เรือเพื่อใช้กล้องโทรทรรศ์เพื่อค้นหาภูมิทัศน์, เส้นทางและเป้าหมายของเรา ผมต้องประหลาดใจมากเมื่อออกมาจากเรือ เพราะอิสยาห์กับมีคาห์ลูกชายของผมได้สำรวจและค้นคว้าด้วยตนเองและมีความคิดที่ดีกว่าตัวผมเกี่ยวกับการจอดเรือบนบก พวกเขากำลังช่วยผมในการมองผ่านกล้องโทรทรรศน์และแม้กระทั่งเป็นผู้นำทางพวกเราเมื่อเราออกจากเรือ

ความฝันที่ 2

ในความฝันทีสอง กลุ่มของพวกเราอยู่ในที่สาธารณะที่เป็นสี่เหลี่ยม เป็นเหมือนศูนย์กลางของเมืองมีห้องอาหาร,ศูนย์การแพทย์และสถานที่ราชการ หรือเป็นตึกสำหรับธุรกิจ กลุ่มของเราบางส่วนได้นั่งรับประทานอาหารที่บริเวณห้องอาหารด้านนอก และมีหลายๆคนที่เดินวนไปรอบสถานที่สี่เหลี่ยมนี้ จนเมื่อมีงูเห่ามีพิษขนาดใหญ่(สีส้ม)ได้เข้ามาในสี่เหลี่ยมนี้และกระโดดขึ้นวนรอบคนให้เกิดความหวาดกลัว

ทุกคนวิ่งหนีจากงูด้วยความตื่นกลัว แต่โจ้เดินเข้ามาในสี่เหลี่ยมนั้นโดยไม่มีความกลัว เขารู้ได้ทันทีว่าจะจัดการกับงูเห่าที่ตอนนี้เป็นสีเขียวและสีน้ำตาลได้อย่างไร ทันใดนั้นงูเห่าก็ตามหลังโจ้ไป ซึ่งพวกเราก็กลัวเพราะว่าโจ้อุ้มโฮฟอยู่ในแขน งูก็พุ่งเข้าไปยังศรีษะโจ้ และโจ้ก็จับงูได้ แต่แทนที่จะจับได้ตรงศรีษะ แต่โจ้จับได้ตรงกลางลำตัวงู ทำให้งูนั้นสามารถที่จะเลี้ยวมากัดโจ้และโฮฟได้

แต่สิ่งที่โจ้ได้ทำนั้น ความจริงแล้วคือการที่ให้โฮฟได้เรียนรูัการจับงูด้วยตัวเอง โฮฟจับข้างหลังตรงหัวงูด้วยมือ อย่างไรก็ตาม การเป็นเด็กและไม่รู้จักกลัวอันตราย โฮฟได้ปล่อยงูไป และระหว่างที่วางงูเลื้อยลง งูก็ได้กัดแขนโฮฟ และโจ้ก็จับงูอีกครั้ง โจ้ทำร้ายงูและฆ่างู เมื่องูตายโจ้ได้ฉีกท้องงูเปิดแยกออกและได้เจอของเล่นชิ้นเล็กๆที่เป็นของโฮฟจากท้องของงู

ความฝันที่ 3

ในความฝันที่สาม ผมอยู่ที่ภูเขา มันเป็นภูเขาสูงและผมกำลังอยู่ในจุดกึ่งกลางค่อนมาข้างล่าง ผมมาจากที่ไหนสักแห่งและกลับบ้าน ซึ่งบังเอิญอยู่บนยอดเขา ผมได้ตัดสินใจว่าจะวิ่งเหยาะๆ ไปตามถนนบนภูเขา และมีรถวิ่งขึ้นไปบนภูเขาทางด้านขวามือของผม มันเป็นฉากภูเขาที่สวยงาม ผมรู้ว่ามันจะเป็นการวิ่งที่ยากและเป็นเนินเขา แต่ผมก็ตั้งตารอที่จะเพลิดเพลินไปกับความงามตามธรรมชาติของทิวทัศน์ขณะวิ่ง

ในขณะที่ผมกำลังวิ่งจ็อกกิ้งอยู่นั้น แมทได้เข้ามาข้างหลังของผม ผมรู้สึกตื่นเต้นและคิดว่าพวกเราน่าจะวิ่งเหยาะๆขึ้นเขาไปด้วยกัน อย่างไรก็ตามแมทอยู่ในสภาพที่ดีมากและวิ่งผ่านผมไป ดูเหมือนว่าเขาจะรีบร้อนและกระตือรือร้นที่จะแสดงความฟิตและความเร็วของเขา ผมรู้สึกเจ็บและผิดหวังเล็กน้อยที่ต้องวิ่งคนเดียวและรู้สึกว่าแมทพลาดโอกาสที่จะได้ใช้เวลาร่วมกัน รู้สึกเหมือนการไปถึงจุดหมายอย่างรวดเร็วไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง 

สิ่งที่พระเจ้าต้องการสำหรับพวกเราคือ "การออกกำลังในชุมชน" และการเติบโต/ดีขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และการสามัคคีธรรม และการให้กำลังใจซึ่งกันและกันมีความสำคัญมากกว่าการไปถึงเป้าหมายอย่างรวดเร็ว แต่นี่ยังไม่ใช่จุดจบของความฝัน

ขณะที่แมทกำลังก้าวไปข้างหน้าผมและไกลขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็ได้เห็นว่าโอปอล์กำลังรอเขาอยู่ข้างหน้าเพื่อวิ่งกับเขา ผมคิดว่าโอปอล์อยู่ข้างหลังเราในบริเวณที่เราจากมาเสียอีก แต่เข้าใจได้ว่าโอปอล์ไม่สามารถไปได้เร็วหรือไกลเท่าที่เขาทำ แมทจึงให้โอปอล์ขับรถขึ้นไปบนเขาเพื่อรอเขา ในที่สุดเขาก็สามารถตามทันและวิ่งไปกับเธอ สิ่งนี้ดูเหมือนจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยที่แมทได้คำนึงถึงข้อจำกัดของโอปอล์

ครอบครัวในพันธกิจ

ขณะที่ผมอธิษฐานในความฝันเหล่านี้ ผมเชื่อว่าพระเจ้าต้องการบอกเราเกี่ยวกับฤดูกาลที่จะมาถึง อย่างที่พวกคุณบางคนทราบ คำขวัญของ One Light Church คือ “เน้นพระกิตติคุณ เสริมพลังวิญญาณ ครอบครัวในพันธกิจ” ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงต้องการให้เรามีประสบการณ์และเรียนรู้เกี่ยวกับความหมายสำหรับพวกเราที่จะเป็น “ครอบครัวคริสตจักรฝ่ายวิญญาณของครอบครัวที่รับพันธกิจร่วมกัน” ในฤดูกาลหน้าที่จะมาถึงนี้

คุณสมบัติ บางอย่างที่อาจมีลักษณะดังนี้:

· พาลูกๆ ไปปฏิบัติพันธกิจ แม้กระทั่งปล่อยให้พวกเขานำทางเหมือนที่พระเจ้าประทานความเข้าใจทางวิญญาณแก่พวกเขา

· ให้ลูกๆ ของเราใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณและแสวงหาการนำทางจากพระเจ้าร่วมกับเรา ในการอธิษฐาน

·  ไม่วิ่งหนีจากภยันตรายฝ่ายวิญญาณหรือสงครามด้วยความกลัว แต่เผชิญหน้าและเอาชนะศัตรู โดยพึงระลึกว่าพระเจ้าพระบิดาของเราทรงควบคุมอยู่าและจะไม่ยอมให้เราประสบอันตรายมากเกินกว่าที่เราจะรับมือได้

· สอนลูกๆ ของเราให้มีส่วนร่วมและเอาชนะซาตาน โดยรู้ว่าพวกเขาจะทำผิดพลาดบ้าง แต่ให้วางใจว่าพระเจ้าจะทรงรักษาพวกเขาให้ปลอดภัย

· เพลิดเพลินกับการเดินทางของพันธกิจ เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเติบโตและการชำระให้บริสุทธิ์ และความเพลิดเพลินของเราในพระเจ้าและชุมชน มากกว่าที่จะไปถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว

.  ไม่ปล่อยใครไว้ข้างหลัง โดยควรคำนึงถึงข้อจำกัดของทุกคนในชุมชนของเรา ให้ผู้นำอยู่ท้ายและอนุญาตให้ผู้ที่ต้องการเดินไปอย่างช้า ๆได้เริ่มก้าวเดิน


ผมมีความกระตือรือร้นที่จะได้ยินจากพวกคุณว่าบางคนอาจจะมีสิ่งเพิ่มเติมในการตีความความฝันเหล่านี้และรับฟังจากพระเจ้าด้วยตัวคุณเอง

จากข้อมูลข้างต้นและในขณะที่เราถือมันอย่างหละหลวม นี่คือสิ่งที่ผมต้องการให้เรามีส่วนร่วมในการอธิษฐานเมื่อเราอดอาหาร:

วันที่ 1- การสำนึกบาป และ การเปิดเผย

ให้กลับมาหาพระเจ้าด้วยความถ่อมตัวและสำนึกบาปและแสวงหาพระประสงค์และแผนงานที่จะทำของพระเจ้า ฉันอยากให้เด็กๆของเราและคนหนุ่มทั้งหลายที่จะมีเวลาในการฝึกฝนการทำนายที่ได้ยินเสียงจากพระเจ้า 

ผู้วินิจฉัย 20:26 แล้วบรรดาคนอิสราเอลคือกองทัพทั้งหมดได้ขึ้นไปที่พระนิเวศของพระเจ้าและร้องไห้คร่ำครวญ เขานั่งเฝ้าพระเยโฮวาห์ ณ ที่นั้น และอดอาหารจนเวลาเย็น ถวายเครื่องเผาบูชาต่อหน้าพระพักตร์พระเยโฮวา 27คนอิสราเอลจึงทูลถามพระเยโฮวาห์(เพราะในสมัยนั้น หีบพันธสัญญาของพระเจ้าอยู่ที่นั้น) 28และฟีเนหัสบุตรชายเอเลอาซาร์ ผู้เป็นบุตรชายอาโรน ก็ปรนนิบัติอยู่หน้าหับนั้นในสมัยนั้น เขาทูลถามว่า สมควรที่ข้าพระองค์จะยังยกไปสู้รบกับเบนยามินพี่น้องของข้าพระองค์อีกครั้ง หรือควรหยุดเสีย และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า จงยกขึ้นไปเถิด เพราะว่าพรุ้งนี้เราจะมอบเขาไว้ในมือของเจ้า

Fast October 2021

Hello everyone, hope you are well and able to join us in fasting and praying. I look forward to seeking God and worshipping Him with you over the next 3 days.

As we begin the fast, there is an overarching prophetic sense we have of God strengthening, healing, and preparing our people for the road ahead—from Clive Baker’s picture from August 2020 of rusty iron girders being replaced by a stainless-steel support in the form of JESUS and Renee’s recent word about presenting ourselves to God our blacksmith.

This fast feels a bit different than fasts in the past: a bit heavier, more significant, and a bit more urgent as well. 

For the past few days and weeks, the leadership team has been trying to seek God in terms of what He wants to do and how He wants us to fast this time around, and I had a series of 3 dreams last night that I believe is from God and intended to give us some direction for the fast.

 

Dream 1

In the first dream, we had made landfall in a new territory. It was a seaside town with a shore and city lights at night. It had a suburban area with many beautiful tract homes. We had arrived on the shore on an old-fashioned wooden ship, like a pirate ship out of Pirates of the Caribbean.

What was apparent in the dream was that we had various missions and tasks to accomplish (as in an open-world video game) at various locations in the city and in the suburban homes. It was important for us get a good understanding of the map of the city, the roads and trails that needed to be traveled, and which homes/people we were supposed to visit.

After setting foot on land, I returned to the ship to use the telescope to figure out the landscape, the paths, and our targets. To my pleasant surprise, while I had been away from the ship, my sons Isaiah and Micah had been doing their own exploring and investigating and had a better idea than I did about the lay of the land. They were helping me with where to look through my telescope and even led the way as we left the ship.

 

Dream 2

In the second dream, a bunch of us were in a public square. It was a city center with a restaurant, a medical facility and government- or business-type buildings. Some of us were sitting and eating in the outdoor seating area of the restaurant, and there were many people just walking around the square, when a large poisonous (orange-colored) cobra entered the square and was jumping up and in circles to scare people.

Everyone ran away from the snake in a panic, but Joe came into the square unafraid. He knew exactly what to do with the cobra, which was now green and brown in color. The cobra went after Joe, and we were afraid for him because he was also holding Hope in his arms. As the snake lunged toward Joe’s head, Joe was able to grab it, but instead of grabbing it by the head, Joe grabbed it in the middle, allowing the snake to continue to try to bite him and Hope.

What Joe was doing was actually to allow Hope to learn how to catch the snake by himself. As the snake lunged again, Hope grabbed the snake with his hand right behind its head. However, being a kid and not being aware of danger, Hope let the snake go, and on its way down, the snake bit Hope on the arm. Joe then grabbed the snake again and bit the snake, killing it. Joe ripped the snake’s belly open and got a small toy belonging to Hope out of the snake’s stomach.

We were all worried for Hope and said we needed to take him to the hospital quickly, but Joe was not worried. He said that it was just a bite and that the snake had not injected any venom into Hope’s arm. Marcia went to the medical facility in the square to ask the doctor (who was Filipino) to help with Hope, but the doctor didn’t show much interest. In the end, both Joe and Hope were fine, and the cobra was dead.

 

Dream 3

In the third dream, I was on a mountain. It was a tall mountain, and I was somewhere near the middle, or towards the bottom. I was coming from somewhere and returning home, which happened to be at the top of the mountain. I decided that I was going to jog the whole way up along the mountain road, and there were cars going up the mountain along my right-hand side. It was a beautiful mountain scene. I knew it was going to be a hard, uphill run, but I was looking forward to enjoying the natural beauty of the scenery as I ran.

As I was jogging, Matt was coming up behind me. I was excited, thinking that we might be able to jog our way up the mountain together. However, Matt was in very good condition and sprinted right past me. He seemed to be in a hurry and was eager to show his fitness and speed. I felt a bit hurt and disappointed about having to jog alone and felt like Matt had missed an opportunity to spend some time together. It felt like getting to destination quickly was not the actual goal.

What God was wanting was for us to “exercise in community” and that growing/getting better and stronger and fellowship and mutual encouragement was more important than arriving at the goal quickly. But, this wasn’t the end of the dream.

As Matt was getting farther and farther ahead of me, I could see that Opal was waiting for him far up ahead to join him in the run. I had thought that Opal was behind us in the area we were coming from, but understanding that Opal couldn’t go as fast or as far as him, Matt had arranged for Opal to be driven up the mountain to be waiting for him so that he could eventually catch up and join with her in the running. This seemed to please God that Matt gave consideration to Opal’s limitations.

 

Families on Mission

As I’ve been praying into these dreams, I believe God wants to communicate to us about the season ahead. As some of you know, One Light Church’s motto is “Gospel-centered, Spirit-empowered, Family on Mission.” I believe God is wanting us to experience and learn about what is means for us to be “a spiritual church family of families that are on mission together” in this next season.

 

Some characteristics of what that might look like:

·      Taking our kids with us on mission, even letting them lead the way as God gives them spiritual insight

·      Allowing our kids to exercise their spiritual gifts and seek direction from God with us in prayer

·      Not running from spiritual dangers or warfare in fear, but confronting and defeating the enemy, knowing that God, our Father is in control and will not allow us to experience more harm than we can handle

·      Teaching our kids how to engage and defeat Satan, knowing that they will make some mistakes, but trusting that God will keep them safe

·      Enjoying the journey of mission, as it’s more about our growth and sanctification and our enjoyment of God and community, than it is about arriving at our destination quickly

·      Not leaving anyone behind, taking significant consideration of the limitations of everyone in our community, having the leaders be in the rear and allowing those who require a slower pace to set the pace 

I am eager to hear what some of you may have to add to this as you interpret these dreams and hear from God yourselves.

Based on the above and while holding it loosely, this is how I’d like for us to engage in prayer as we fast:

 

Day 1 – Repentance and Revelation

Let’s return to God in humility and repentance and seek God’s will and direction. In doing so, I’d like to give our children and young people space to exercise their prophetic gifts in hearing from God 

Judges 20:26 Then all the Israelites, the whole army, went up to Bethel, and there they sat weeping before the Lord. They fasted that day until evening and presented burnt offerings and fellowship offerings to the Lord. 27 And the Israelites inquired of the Lord. (In those days the ark of the covenant of God was there, 28 with Phinehas son of Eleazar, the son of Aaron, ministering before it.) They asked, “Shall we go up again to fight against the Benjamites, our fellow Israelites, or not?” The Lord responded, “Go, for tomorrow I will give them into your hands.”

 

Day 2 – Healing & Deliverance

Let’s pray for healing: spiritual, physical, emotional, and mental. Let’s also ask God to rid demonic activity from our lives.

2 Samuel 12:16 David pleaded with God for the child. He fasted and spent the nights lying in sackcloth on the ground.

Mark 9:25 When Jesus saw that a crowd was running to the scene, he rebuked the impure spirit. “You deaf and mute spirit,” he said, “I command you, come out of him and never enter him again.” 26 The spirit shrieked, convulsed him violently and came out. The boy looked so much like a corpse that many said, “He’s dead.” 27 But Jesus took him by the hand and lifted him to his feet, and he stood up. 28 After Jesus had gone indoors, his disciples asked him privately, “Why couldn’t we drive it out?” 29 He replied, “This kind can come out only by prayer and fasting.

 

Day 3 – Prayer for Safe Passage

We want to do amazing things in us and through us. When we engage in the mission of God fully, we will face many challenges and difficulties. It is through many tribulations we must enter the kingdom of God. Let’s pray for safe passage through whatever God has ahead for us.

Ezra 8:21 Then I proclaimed a fast there, at the river Ahava, that we might humble ourselves before our God, to seek from him a safe journey for ourselves, our children, and all our goods. 22 For I was ashamed to ask the king for a band of soldiers and horsemen to protect us against the enemy on our way, since we had told the king, “The hand of our God is for good on all who seek him, and the power of his wrath is against all who forsake him.” 23 So we fasted and implored our God for this, and he listened to our entreaty.

Fast 2021 - Day 3 (We Feast on Christ... And Food!)

One thing I frequently hear these days about Jesus is words to the effect of: “It’s not about a bunch of dos and don’ts. It’s about a relationship.”

I understand where this sentiment comes from. Far too often, Christianity has devolved into nothing more than an external behavior modification program. There is no doubt that relationship is primary. Our God describes Himself as love and has existed in a perfect community of 3 from all of eternity past, and Christ’s work of redemption was to reconcile God and man. The words of Proverbs 23:26 ring true: “My son, give me your heart!”

But, I think the primacy of relationship has led many into a false notion that our subjective feelings toward God are all that matter, and what we do or don’t do matters not at all. It’s an approach to God that says: “He loves me no matter what, so I can do whatever I want.”

Have you ever been in a relationship—or more specifically a good relationship—where the other person treated you however he or she felt convenient without any regard for your preferences or desires? Imagine if I told my wife Marcia, “I love you and you love me. That’s all that matters, so don’t tell me about your thoughts, feelings, and desires. I just want to be free to live my life however I please.” It would not be a great recipe for a successful marriage, and it’s not a great recipe for a great relationship with God.

Let us remember that the Proverbs passage I quoted earlier ends in this way: My son, give me your heart, and let your eyes observe my ways.

Jesus wants to have a relationship with us and wants to use that relationship to make us more like His perfect beautiful self, which is why His parting instruction to us, His disciples, included the last essential line: …teaching them to observe all that I have commanded you.

Yes, it is about a relationship, but these are some of the ways that God describes our relationship with Him: Father-Child, God-Creature, Potter-Clay, Master-Servant, Shepherd-Sheep, King-Subject, Leader-Follower, and Teacher-Learner. We do well to obey Him. Because He is perfect, everything He asks us to do doesn’t just make Him happy—it is also for our good.

And, this is what it means to build our lives on Jesus the Rock.

“Everyone then who hears these words of mine and does them will be like a wise man who built his house on the rock. And the rain fell, and the floods came, and the winds blew and beat on that house, but it did not fall, because it had been founded on the rock. And everyone who hears these words of mine and does not do them will be like a foolish man who built his house on the sand. And the rain fell, and the floods came, and the winds blew and beat against that house, and it fell, and great was the fall of it.” - Matthew 7:24-27

Jesus’s little brother, James repeated this idea:

But be doers of the word, and not hearers only, deceiving yourselves. - James 1:22

A relationship with Jesus means doing the things He tells us to do. As a community we saw this together in the Samuel series

“Has the Lord as great delight in burnt offerings and sacrifices,

as in obeying the voice of the Lord?

Behold, to obey is better than sacrifice,

and to listen than the fat of rams.

For rebellion is as the sin of divination,

and presumption is as iniquity and idolatry.

Because you have rejected the word of the Lord,

he has also rejected you from being king.”

We know about the 5 love languages: words of affirmation, acts of service, receiving gifts, quality time, and physical touch. It seems to God, more than receiving gifts, He feels loved when we obey Him.

Well, so what should we do? How are we supposed to obey?

The Matthew 7 passage above about building our houses on the rock is actually how Jesus ended His Sermon on the Mount, and in the Sermon, Jesus lays out very specific things we are supposed to do and not do. It is the ultimate do and don’t do list for our lives.

Dos and Don’ts from the Sermon on the Mount

  • do the will of the Father who is in heaven (Matt. 7:21)

  • don’t do a bunch of mighty work in Jesus’ name in vain (Matt. 7:22)

  • do bear good fruits (Matt. 7:17)

  • don’t bear bad fruits or no fruit (Matt. 7:18-19)

  • do beware of false prophets (Matt. 7:15)

  • do enter by the narrow and hard way that leads to life (Matt. 7:13)

  • don’t enter by the wide and easy way that leads to destruction (Matt. 7:14)

  • do ask, seek, knock for good things from God (Matt. 7:7-11)

  • don’t feed your kids rocks and snakes when they are hungry (Matt. 7:9-10) ;)

  • do be discerning (Matt. 7:6) but…

  • don’t judge others (Matt 7:1)

  • do seek first the Kingdom of God (Matt. 6:33)

  • don’t be anxious (Matt. 6:25-32)

  • don’t serve two masters (Matt. 6:24)

  • do serve God (Matt. 6:24)

  • don’t serve money (Matt. 6:24)

  • do look at wholesome things with your eyes (Matt. 6:22)

  • don’t let your eyes look at bad things (Matt. 6:23)

  • do lay up your treasures in heaven (Matt. 6:20)

  • don’t lay up your treasures on earth (Matt. 6:19)

  • do fast YAY!! (Matt. 6:17) but…

  • don’t be a hypocrite about it (Matt. 6:16)

  • do forgive others (Matt. 6:14)

  • do pray YAY!! (Matt. 6:7-13) but…

  • don’t be a hypocrite about it (Matt. 6:5-6)

  • do give to the needy (Matt. 6:2)

  • don’t show off and practice your righteousness before others (Matt. 6:1-3)

  • do love your enemies (Matt 5:43-48)

  • don’t retaliate (Matt 5:38-42)

  • do follow through with your promises (Matt 5:33-37)

  • don’t take oaths (Matt 5:34-36)

  • don’t divorce (Matt 5:31-32)

  • don’t lust (Matt 5:27-30)

  • do reconcile with one another quickly (Matt 5:23-26)

  • don’t be angry with or insult one another (Matt 5:21-22)

  • do God’s commandments and teach them (Matt 5:19)

  • don’t relax even the least of His commandments (Matt 5:19)

  • do good works and shine your light before others (Matt 5:14-16)

  • don’t lose your saltiness (Matt 5:13)

  • do rejoice and be glad!!! (Matt 5:12)

Why? … because we are the blessed of the Lord and the Kingdom of Heaven is ours! (Matt. 5:3-12).

I believe God is wanting to remind us of these truths today. Building our lives on the Rock isn’t just about every once in a while, singing songs about building our life on Jesus. It is laying bricks of obedience, day-by-day and piece-by-piece, on the foundation of His words.

Let’s build on our solid Rock, our Firm Foundation in 2021!