Seeking like a Watchman
Good morning and welcome to the first day of our fast. I am very excited and expectant of what God will say and do over the next three days both individually, and during our corporate times of gatherings. If this is your first time fasting, the reason for fasting is not to earn the approval of God or to test our tenacity and endurance. As we fast, the physical hunger we feel intensifies our longings for Jesus. In our hunger, we recognize more clearly our dependence on God and our hunger and thirst for more of His presence. Also, fasting helps remove distractions and allows us to focus on Jesus. The time we don’t spend eating is more time we can spend in silence, prayer, and listening to God. I would encourage you to utilize this time to disengage from normal television and social media rhythms, and to spend time seeking the Lord in what He may say and do.
Our fast for the next 3 days focuses around the idea of “a watchman.” As we learned through our study on Ezekiel, a physical watchman was an extremely important person in biblical times. It was the job of the watchman to position themself high on the city wall or on a tower, and to watch carefully to see if an enemy was approaching. The watchman’s primary job was to be alert and to blow their trumpet of warning if there was impending danger. Ezekiel was appointed by God (in Ezekiel 3 and 33) to be a spiritual “watchman” to his people and to communicate God’s message of warning and repentance to them. We will talk more about that type of watchman on Day 3 and what that call looks like for us in our day and age.
There were also watchmen, however, that were stationed in the city, behind the walls. We see these types of watchmen mentioned in Song of Solomon 3:3: “The watchmen found me as they went about in the city.”
Their job was to patrol the streets and protect the city and its inhabitants from violence. They also were tasked to guard against and seek out enemies who may have breached the wall and snuck in. The proper identification and removal of those people was critical to the safety, security, and well-being of the city.
Over the past several weeks, we, as an eldership, have seen a marked increase in spiritual attacks on our church. Whether through sickness, nightmares, insomnia, loss of jobs, disunity, or even manifestations, we have been reminded yet again that “we do not wrestle against flesh and blood, but against the rulers, against the authorities, against the cosmic powers over this present darkness, against the spiritual forces of evil in the heavenly places (Ephesians 6:12).” We absolutely DO NOT fear because our God is greater, He is our light and salvation, and Jesus has won the victory! Still, there is a consistent call in the Bible for us to be alert, sober minded, armed, and on guard. And as God’s watchmen, before we stand on the towers and fixate our eyes on the dangers and battles that lie over the horizon, we need to first “patrol the streets of our own heart” and seek out ways in which danger and the enemy have crept into our lives.
As Christians, we know that Christ is our Lord and Master. He is the One worthy of our worship and affection. But there are times in which we allow other things to sneak in behind the walls and make their home in our heart. We can be fooled to think that somehow Jesus and these other things can co-exist with one another. We cannot have it both ways though. The Bible says, “no one can serve two masters. Either you will hate the one and love the other, or you will be devoted to the one and despise the other (Matthew 6:24).” If we choose idols, we by default reject God, just as choosing God means rejecting idols. Therefore, through the power of the Holy Spirit, we must seek out, identify, and remove the idols in our hearts and replace them with our love and worship of Christ. Always remember that we will never find true fulfillment apart from worshiping Jesus.
Take some time to read Psalm 139 a few times and pray through verse 23 & 24.
As the kindness of the Holy Spirit reveals idols/distractions/sin to you, repent. Repentance is a gift to us. It’s God’s way of inviting us not to hide from our sin, but to come to Him in our mess acknowledging only He can make us clean.
Then ask that God would transform you, and that all of our affections and worship would be toward Him alone. If you need some guidance, Psalm 51 has a beautiful way of portraying these last two points.
เฝ้าดูเหมือนยามรักษาการ
อรุณสวัสดิครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่วันแรกของการอดอาหารอธิษฐาน ผมรู้สึกตืนเต้นมากและ คาดหวังเป็นอย่างยิงว่าพระเจ้าจะพูดและทําอะไรบ้างในการอดอาหารอธิษฐานในครังนี ไม่ ว่าจะเป็นการอดอาหารโดยส่วนตัวกับแต่ละคนหรือในช่วงเวลาทีเรารวมตัวกัน ถ้าหากว่านี เป็นครังแรกทีคุณอดอาหารอธิษฐาน อยากให้คุณเข้าใจว่า การอดอาหารอธิษฐานนีไม่ใช่ ทําเพือเราจะได้รับการยอมรับจากพระเจ้าหรือเพือทดสอบการยืนหยัดและความทรหด อดทนของเรา เมือเราอดอาหาร ความหิวทางร่างกายของเรายิงเพิมความกระหายของเราที มีต่อพระเยซูเพิมมากยิงขึน เราตระหนักได้ชัดเจนยิงขึนถึงการพึงพาพระเจ้า และความหิว กระหายทีจะได้รับการสถิตอยู่ของพระองค์มากขึน การอดอาหารอธิษฐานนียังช่วยขจัดสิงที รบกวนในจิตใจของเรา ช่วยให้เราจดจ้องไปทีพระเยซูได้ เราสามารถใช้เวลาทีเราไม่ได้ รับประทานอาหาร ในการสงบเงียบ อธิษฐานและฟังสิงทีพระเจ้าพูดได้ ผมอยากจะหนุนใจ พีน้องให้ใช้เวลาในการอดอาหารนีโดยการเลิกสนใจโทรทัศน์และโซเชียลมีเดียต่างๆ แต่ ให้ใช้เวลาในการแสวงหาพระเจ้าในสิงทีพระองค์จะตรัสและทําในชีวิตของเราแทน
ในสามวันนี เราจะมาใคร่ครวญด้วยกันถึงเรืองของการเฝ้ารักษายาม จากทีเราได้ เรียนด้วยกันในพระธรรมเอเสเคียล คนยามในสมัยพระคัมภีร์นันเป็นหน้าทีทีสําคัญมากๆ เป็น งานทีพวกเขาต้องอยู่บนกําแพงเมือง หรือบนหอคอยคอยเฝ้ารักษาการ และระมัดระวัง สอดส่องดูว่ามีศัตรูแอบเข้ามาโจมตีหรือไม่ หน้าทีหลักของคนยามคือต้องเฝ้าระวังด้วย ความตืนตัวอยู่เสมอและต้องเป่าแตรเตือนหากมีภัยร้ายเข้ามาใกล้พวกเขา เอเสเคียลได้รับ การเจิมตังจากพระเจ้า(ในพระธรรมเอเสเคียลบทที 3 และ 33) ทีจะเป็นยามเฝ้ารักษาการ ฝ่ายจิตวิญญาณให้กับประชากรของพระองค์ และสือสาร การตักเตือนจากพระเจ้าและการ เรียกกลับใจให้กับคนเหล่านันด้วย เราจะพูดคุยเพิมเติมเกียวกับประเภทของยามเฝ้า รักษาการนันในการอดอาหารวันที 3 และมาดูกันว่าการเป็นยามรักษาการในสมัยของเรานัน มันหมายความว่าอย่างไร
ยังมียามรักษาการทีประจําอยู่ในเมืองและบางส่วนประจําด้านนอกกําแพงอีกด้วย เรา เห็นได้ว่ามีคนยามหลากหลายประเภทจากพระธรรมเพลงซาโลมอน 3:3 “คนเฝ้ายามทีประตูเมืองพบฉัน เวลาทีพวกเขาตรวจตราเมือง” งานของพวกเขาคือการ ลาดตระเวนตามถนนและปกป้องเมืองและผู้อยู่อาศัยจากความรุนแรง พวกเขายังได้รับ มอบหมายให้ป้องกันและค้นหาศัตรูทีอาจเจาะกําแพงและแอบเข้ามา การหาว่าใครคือศัตรูที แฝงเข้ามาและกําจัดคนเหล่านันเป็นสิงทีสําคัญมากต่อความปลอดภัย ระบบความปลอดภัย และความเป็นอยู่ทีดีของเมือง
ในช่วงหลายสัปดาห์ทีผ่านมา เราในฐานะผู้อาวุโส ได้เห็นการโจมตีทางจิตวิญญาณต่อคริ สตจักรของเราเพิมขึนอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะด้วยความเจ็บป่วย ฝันร้าย นอนไม่หลับ ตกงาน แตกแยก หรือแม้แต่แสดงอาการผีเข้า เราได้รับการเตือนอีกครังว่า “เพราะเราไม่ได้ ต่อสู้กับเนือหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีทีครอบครอง พวกภูตผีทีมีอํานาจ พวกภูตผี ทีครองพิภพในยุคมืดนี ต่อสู้กับพวกวิญญาณชัวในสวรรคสถาน(เอเฟซัส 6:12)” เราไม่ จําเป็นต้องกลัวเพราะว่าพระเจ้าของเรายิงใหญ่กว่าสิงเหล่านัน พระองค์ทรงเป็นแสงสว่าง และความรอดของเรา และพระเยซูทรงมีชัยเหนือสิงทังปวงแล้ว ถึงอย่างไรก็ตามในพระ คัมภีร์เรียกให้เราตืนตัวอยู่เสมอ ระวังระไว และสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้า และในฐานะคน เฝ้ายามของพระเจ้า ก่อนทีเราจะยืนบนหอคอยและเพ่งความสนใจไปทีอันตรายและการสู้รบ ทีมีอยู่ เราต้อง "ลาดตระเวนตามถนนในหัวใจของเรา”เองก่อน และดูว่าศัตรูใช้แผนไหนและ มีภัยอะไรที เข้ามาในชีวิตของเรา
ในฐานะคริสเตียน เรารู้ว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าและนายของเรา พระองค์ทรงเป็นผู้ สมควรแก่การนมัสการและความรักของเรา แต่มีหลายครังทีเรายอมให้สิงอืนแอบเข้าไปหลัง กําแพงและสร้างบ้านไว้ในใจเรา เรากําลังถูกหลอกถ้าเราคิดว่าพระเยซูและสิงอืนๆ เหล่านี สามารถอยู่ร่วมกันได้ เราไม่สามารถมีทังสองอยู่ร่วมกันได้ พระคัมภีร์บอกว่า “ไม่มีใครเป็นข้า สองเจ้า บ่าวสองนายได้ เพราะว่าเขาจะชังนายข้างหนึง และรักนายอีกข้างหนึง หรือเขาจะ นับถือนายฝ่ายหนึง และดูหมินนายอีกฝ่ายหนึง ท่านทังหลายจะรับใช้พระเจ้าและเงินทอง พร้อมกันไม่ได้” (มัทธิว 6:24) ถ้าเราเลือกทีจะมีรูปเคารพ เท่ากับเราปฏิเสธพระเจ้า และถ้า เราเลือกพระเจ้า เท่ากับว่าเราไม่สามารถมีรูปเคารพได้ ดังนันโดยอํานาจของพระวิญญาณ บริสุทธิ เราต้องหาให้เจอว่าอะไรคือรูปเคารพในใจและกําจัดรูปเคารพนันออกไป และแทนที สิงเหล่านันด้วยความรักและการนมัสการพระเยซูคริสต์ ขอให้เราจําไว้เสมอว่า เราไม่ สามารถได้รับการเติมเต็มอย่างแท้จริง หากขาดจากการนมัสการพระเยซู
ขอให้เราใช้เวลาในการอ่านสดุดี 139 หลายๆรอบ และ อธิษฐานตามข้อ 23 และ 24 ด้วยกัน
โดยพระวิญญาณบริสุทธิเผยให้เห็นรูปเคารพ/สิงรบกวนใจ/ความบาปให้คุณเห็น จง กลับใจใหม่ การกลับใจเป็นของขวัญทีพระเจ้าให้กับเรา นีเป็นวิธีของพระเจ้าในการ เชิญชวนเราไม่ให้ซ่อนตัวจากบาปของเรา แต่ให้มาหาพระองค์ท่ามกลางความ วุ่นวายของเรา โดยยอมรับว่ามีเพียงพระองค์เท่านันทีสามารถทําให้เราสะอาดได้
หลังจากนัน ขอทีพระเจ้าจะช่วยเปลียนจิตใจของเราใหม่ ขอให้การแสดงความรัก ความสนใจ การนมัสการของเราจะมีต่อพระองค์แต่เพียงผู้เดียว หากว่าคุณต้องการ คําแนะนํา สามารถอ่านได้ในสดุดี 51 ในนันจะมีวิธีทีสวยงามทีจะช่วยให้คําแนะนํากับ เราได้