Fast Fall 2023 Day 2 | การอดอาหาร ฤดูใบไม้ร่วง 2566 วันที่ 2

Waiting like a Watchman

Good morning! As we move to the second day of the fast, our focus shifts to “waiting like a watchman.” I would imagine a night watchman had a lot of things to be concerned about while on duty. Not only were they solely responsible for the safety and well-being of the city they were keeping watch of, but they had to ensure that they would be able to stay awake and alert all the hours they were on their shift. To make matters worse, there were no energy drinks or espresso shots back then! How did they do it?! There probably was the temptation at times to lean up against a post, let their eyelids slowly droop, and take a quick 10-minute power nap. But doing so would put the city at tremendous risk!

One of the greatest sights for a night watchman was the first sight of dawn. The morning signified many things to the watchman. First, it meant the end of his work. No longer did he need to be vigilant and hyperaware, but rather He would finally be able to let his guard down and rest. Secondly, the morning meant that there was a much less of a chance for them to be attacked, as most attacks happened under cover of darkness. You can almost sense the expectancy and relief coming over the watchman as the first beam of the sun’s rays came up from the horizon. “Yes, finally!”

Psalm 130 is a very famous passage of scripture that speaks of waiting and hoping for the Lord with a similar anticipation. The psalmist, deeply distressed at the afflictions and sins of the world, longs for the day when God would come to redeem his people and set everything right. Verse 5 and 6 say:

5 I wait for the LORD, my soul waits,
and in his word I hope;
6 my soul waits for the Lord
more than watchmen for the morning,
more than watchmen for the morning.

As Christians, we have absolute certainty that there will come a day where Christ will return again. He will make right every wrong. He will restore all that was lost. All sin, all pain, all death, all sorrow, gone in an instant! He will make everything new and we will live with Him forever! This is the hope that Christians throughout church history have held on to as they’ve prayed for deliverance from things like poverty, war, death, destruction, and persecution. That’s why in Titus 2:13, Paul describes Jesus’ second coming as the church’s “blessed hope.”

But as Pastor Dan spoke on a few weeks ago, Christianity in the present day finds many believers enjoying life in relative comfort. We can so easily grow accustomed to living in the darkness, letting our guards down, becoming distracted on the temporal, and as a result, fall asleep spiritually. It might sound dramatic, but it feels like there are Christians and churches who would see Jesus’s return more as an inconvenience and interruption to their lives, long-term goals, and ministry rather than the ultimate hope and reason for their existence here on Earth.

We have been called as Christians, however, to live lives that are alert and expectant for our Lord’s return. Matthew 24 and 25 have many parables on what it means to live in expectation of the Lord’s return. If you have time, I encourage you to read and pray through them. 1 Thessalonians 5 also speaks of Christ’s return and in light of it, Paul implores us to live this way: Verse 4 says:

“4 But you are not in darkness, brothers, for that day to surprise you like a thief. 5 For you are all children of light, children of the day. We are not of the night or of the darkness. 6 So then let us not sleep, as others do, but let us keep awake and be sober.”

As Christians, God has made us children of light and of the day. The time when we were of the night and in darkness is over. Therefore, as children of light, the Lord’s return shouldn’t surprise us or catch us off guard. Rather, we should be ready for the return of Jesus Christ by keeping awake and being sober. You see, when you are asleep, we are ignorant to the things around us. Our guard is down, and we are prone to attack. We are also inactive and unproductive. But God desires to awaken us again to the hope of Christ's return! We cannot predict exactly when He will return, but we can be as sure of it as the sun rises each morning! This will be a time where, like the night watchman, we are able to finally rest from our work and find complete safety from sin, danger, and suffering. But until that time, God’s desire is to awaken us to the reality of who He is and empower us to live lives that are faithful, purposeful, fully expectant, and prepared for His return. My prayer for us this morning is that we would grow in our desire for Jesus's presence both now and physically someday when we will see Him face to face. Until that time, through the power of the Holy Spirit, let’s pray that our actions, words, and lives reflect our identity as children of the day, as we watch and wait patiently for our Lord’s return.

“My soul waits for the Lord, more than watchmen for the morning, more than watchmen for the morning.” See you tonight!

Take some time to wait and listen to God as you reflect on these questions:

  • Why do I want Jesus to come back? What hope do I have in His return?

  • How does having a certainty and expectancy of Christ’s return change the way I view things like suffering and hardships? How does it affect what we prioritize and the way we live?

  • What are ways God is inviting and desiring to empower you to live in light of his return?

เฝ้ารอเหมือนยามรักษาการ

สวัสดีตอนเช้า! เราก็ได้เข้าสู่วันที่สองของการอดอาหาร เราจะมุ้งเน้นไปที่ "การเฝ้ารอ"เหมือนคนยาม รักษาการ” ผมจินตนาการว่ายามรักษาการในกลางคืนมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องกังวลในขนะปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องรับผิดชอบต่อความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของเมืองที่พวกเขาเฝ้าดูอยู่เท่านั้น แต่พวกเขาต้องแน่ใจว่าพวกเขาจะไม่หลับและตื่นตัวตลอดเวลาที่พวกเขาอยู่ในหน้าที่ และที่แย่ไปกว่านั้น ตอนนั้นไม่มีเครื่องดื่มชูกำลังหรือกาแฟเอสเพรสโซ่! พวกเขาทำได้อย่างไร! ก็คงมีช่วงเวลาที่มีสิ่งล่อลวงให้ รู้สึกอยากพิงเสา ปล่อยให้เปลือกตาค่อยๆปิดลงมาช้าๆล้มตัวลงนอนและงีบหลับอย่างรวดเร็วสัก 10 นาที แต่การทำเช่นนั้นจะทำให้เมืองอยู่ในความเสี่ยงมหาศาล!

หนึ่งสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดสำหรับยามรักษาการกลางคืน คือสัญญาณแรกแรกของรุ่งอรุณ ตอนเช้ามี ความหมายหลายอย่างแก่ยามรักษาการ ประการแรกหมายถึงการสิ้นสุดงานของเขา เขาไม่จำเป็นต้อง ระมัดระวังและตื่นตัวอีกต่อไป แต่หลังจากนั้นเขาก็จะสามารถลดความระมัดระวังและได้พักผ่อน ประการที่ สอง ตอนเช้าหมายความว่ามีโอกาสน้อยมากที่พวกเขาจะถูกโจมตี เนื่องจากการโจมตีส่วนใหญ่เกิดขึ้น ภายใต้ความมืด คุณแทบจะสัมผัสได้ถึงการคาดหวังและความโล่งใจของยามรักษาการเมื่อแสงแรกจากดวง อาทิตย์ส่องขึ้นมาจากขอบฟ้า “ใช่ ในที่สุด!”

สดุดี 130 เป็นข้อพระคัมภีร์ที่มีชื่อเสียงมาก ซึ่งพูดถึงการรอคอยและความหวังต่อพระเจ้าด้วยความคาดหวัง ที่คล้ายกัน ผู้แต่งสดุดีผู้เป็นทุกข์อย่างยิ่งต่อความทุกข์ยากและบาปของโลก รอคอยวันที่พระเจ้าจะเสด็จมาไถ่ ชนชาติของพระองค์และจัดการทุกอย่างถูกต้อง ข้อ 5 และ 6 พูดว่า:

5ข้าพเจ้าคอยพระยาห์เวห์ จิตใจของข้าพเจ้าคอยอยู่
และข้าพเจ้าหวังในพระวจนะของพระองค์
6จิตใจของข้าพเจ้าคอยองค์เจ้านาย
ยิ่งกว่าคนยามคอยเวลารุ่งเช้า
ยิ่งกว่าคนยามคอยเวลารุ่งเช้า

ในฐานะคริสต์เตียน เรามีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าวันหนึ่งพระคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้ง พระองค์จะทรง แก้ไขความผิดทุกประการ พระองค์จะทรงฟื้นฟูทุกสิ่งที่สูญหายไป ทุกความบาป ความเจ็บปวด ความตาย ความโศกเศร้า หายไปในพริบตา! พระองค์จะสร้างทุกสิ่งใหม่และเราจะอยู่กับพระองค์ตลอดไป! นี่คือ ความหวังที่คริสต์เตียนตลอดทั้งประวัติศาสตร์คริสตจักรยึดถือในขณะที่พวกเขาอธิษฐานเพื่อการปลดปล่อย จากสิ่งต่างๆ เช่น ความยากจน สงคราม ความตาย การทาลายล้าง และการข่มเหง นั่นคือเหตุผลที่ในทิตัส 2:13 เปาโลบรรยายถึงการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูว่าเป็น “ความหวังอันเป็นสุข” ของคริสตจักร

แต่เหมือนที่อาจารย์แดนพูดเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน คริสต์เตียนในปัจจุบันพบว่าผู้เชื่อจำนวนมากสนุกสนาน เพลิดเพลินกับชีวิตที่สะดวกสะบาย เราคุ้นเคยและเติบโตกับการใช้ชีวิตในความมืดได้อย่างง่ายดาย ลดการ ระมัดระวังของเราลง ถูกรบกวนจากทางโลกและผลที่เกิด ก็คือเราเผลอหลับไปทางฝ่ายวิญญาณ อาจฟังดูดำ ราม่า แต่รู้สึกเหมือนมีคริสต์เตียนและคริสตจักรที่มองว่าการเสด็จกลับมาของพระเยซูเป็นความไม่สะดวก และขัดขวางชีวิตของพวกเขา เป้าหมายระยะยาว และพันธกิจ มากกว่าที่จะเป็นความหวังสูงสุดและเหตุผล ของการดำรงอยู่บนโลกนี้

อย่างไรก็ตาม เราถูกเรียกในฐานะคริสต์เตียนให้ดำเนินชีวิตที่ตื่นตัวและรอคอยการเสด็จกลับมาของพระเยซู มัทธิว 24 และ 25 มีอุปมามากมายเกี่ยวกับความหมายของการดำเนินชีวิตโดยคาดหวังการเสด็จกลับมาของ พระเจ้า หากคุณมีเวลา ผมขอแนะนาให้คุณอ่านและอธิษฐานผ่านสิ่งเหล่านี้ 1 เธสะโลนิกา 5 พูดถึงการเสด็จ กลับมาของพระคริสต์ด้วย และเมื่อคำนึงถึงเรื่องนี้ เปาโลวิงวอนให้เราดำเนินชีวิตเช่นนี้ ข้อ 4 กล่าวว่า:

4 แต่พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่ได้อยู่ในความมืดเพื่อว่าวันนั้นจะไม่ทาให้ท่านประหลาดใจเหมือนขโมย มา 5 พวกท่านล้วนเป็นลูกของความสว่าง เป็นลูกของกลางวัน เราไม่ได้เป็นของกลางคืนหรือของความ มืด 6 ฉะนั้นเราอย่าเหมือนคนอื่นๆ ที่หลับใหล แต่จงตื่นตัวและควบคุมตนเอง

ในฐานะคริสต์เตียน พระเจ้าได้ทรงสร้างเราให้เป็นลูกของความสว่างและลูกของกลางวัน เวลาที่เราอยู่ใน ยามกลางคืนและความมืดสิ้นสุดลง ดังนั้นในฐานะลูกของความสว่าง การกลับมาของพระเจ้าไม่ควรทำให้ เราประหลาดใจหรือทำให้เราไม่ทันระมัดระวัง แต่เราควรเตรียมพร้อมสำหรับการเสด็จกลับมาของพระเยซู คริสต์โดยตื่นตัวและมีสติ คุณเห็นไหม ว่าเมื่อคุณหลับ เราก็เพิกเฉยต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวเรา เราไม่ระมัดระวัง และเรามีแนวโน้มที่จะถูกโจมตี รวมทั้งเราเฉื่อยชาและไม่มีประสิทธิภาพ แต่พระเจ้าปรารถนาที่จะปลุกเรา ให้ตื่นขึ้นอีกครั้งเพื่อความหวังในการเสด็จกลับมาของพระคริสต์! เราไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแน่ชัดว่า พระองค์จะเสด็จกลับมาเมื่อใด แต่เรามั่นใจได้เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นในทุกเช้า! จะเป็นเวลาที่ในที่สุดเราก็ สามารถพักผ่อนจากงานของเราและพบความปลอดภัยจากบาป อันตราย และความทุกข์ทรมานได้ เช่นเดียวกับยามรักษาการกลางคืน แต่จนกว่าจะถึงเวลานั้น ความปรารถนาของพระเจ้าคือการปลุกเราให้ตื่น ให้รู้ถึงความเป็นจริงว่าพระองค์ทรงเป็นใคร และเสริมพลังให้เราดำเนินชีวิตที่สัตย์ซื่อ มีเป้าหมาย ความ คาดหวังอย่างเต็มที่ และเตรียมพร้อมสาหรับการเสด็จกลับมาของพระองค์ คำ าอธิษฐานของผมสาหรับเราใน เช้าวันนี้ ขอให้เราปรารถนาการสถิตของพระเยซูมากขึ้นในเวลานี้ และทางกายเมื่อสักวันหนึ่งที่เราจะได้ เผชิญหน้ากับพระองค์ จนกว่าจะถึงเวลานั้น เราขออธิษฐานโดยอาศัยพลังอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อให้การกระทำ คำพูด และชีวิตของเราสะท้อนถึงตัวตนของเราในฐานะลูกๆของวัน ขณะที่เราเฝ้าดูและ รอคอยการเสด็จกลับมาของพระเจ้าอย่างอดทน

“จิตวิญญาณของข้าพเจ้ารอคอยพระเจ้า มากกว่าคนเฝ้ายามในตอนเช้า มากกว่าคนเฝ้ายามในตอนเช้า” เจอ กันคืนนี้!

ใช้เวลาในการรอคอยและฟังพระเจ้าเมื่อคุณใคร่ครวญคาถามเหล่านี้:

  • ทำไมฉันถึงอยากให้พระเยซูกลับมา? ฉันมีความหวังอะไรในการเสด็จกลับมาของพระองค์?

  • การมีความคาดหวังที่แน่นอนถึงการเสด็จกลับมาของพระคริสต์เปลี่ยนวิธีที่ฉันมองสิ่งต่างๆ เช่น ความทุกข์ ทรมานและความยากลาบากอย่างไร มันส่งผลต่อสิ่งที่เราจัดลาดับความสาคัญและวิถีชีวิตของเราอย่างไร?

  • พระเจ้าทรงเชิญชวนและปรารถนาที่จะมอบอานาจให้คุณดาเนินชีวิตโดยคานึงถึงการเสด็จกลับมาของ พระองค์ด้วยวิธีใดบ้าง?