Fast Fall 2023 Day 3 | การอดอาหาร ฤดูใบไม้ร่วง 2566 วันที่ 3

Speaking like a Watchman

On the last day of our fast, we will focus on the idea of “speaking like a watchman.” As mentioned on Day 1, a physical watchman in biblical times was tasked to watch carefully and if an enemy was approaching, to take up his trumpet and blow a warning to the people. If the watchman failed to see the enemy approaching, or for whatever reason, failed to blow the warning signal, people would die. But if he was faithful, and succeeded in warning them, many lives of the people would be spared. The people of the city would be able to get prepared, to defend themselves, and perhaps save themselves from being destroyed.

Ezekiel was called to be a ‘spiritual’ watchman to the people living in exile and to warn a people that didn’t want to hear. He was to stand atop the ‘spiritual’ city wall and speak of God’s approaching and well-deserved judgment. Who would like to sign up for that job? It probably would have been much easier and better for his reputation if he just did not say anything, and let the justice and judgment of God come upon the people. But that would have been like a watchman who didn’t want to make people upset by waking them up in the middle of the night, so they let the people sleep and be killed.

If there was any ounce of care and concern for the people of the city, the watchman had to “speak up” when danger was near, even if that meant giving a message that was unpopular or a great ‘disturbance’ in the lives of others.

I was reminded afresh of some of Jesus’ last words while on He was on Earth:

“You will be my witnesses to the whole world (Acts 1:8);”

“Go and make disciples of all nations (Matt. 28:19,20);”

“As my Father has sent me, even so, I am sending you (John 20:21).”

God has placed His church as watchmen in this world and has entrusted us with the message by which all may be saved! First, warning people of the seriousness of sin and its consequences according to the Bible. This is not a popular message in today’s society, but extremely necessary in order for people to understand their true state before God. But then, sharing with them the good news of salvation in Jesus Christ! That God is patient with us, not wanting anyone to perish, but everyone to come to repentance.” (2 Peter 3:8–9). That God so loved the world that He gave His One and only Son (John 3:16), and that through Jesus’s sacrifice on the cross, has cleansed us from the stain of sin, has given us a new heart, and put His Spirit to confirm we are His in us. What a message of hope to a world desperately in need of it!

And yes, there will be some who do not listen, just as in Ezekiel’s time. But, ultimately it is not our responsibility to try and change hearts. Ezekiel's job was to walk closely with God so that He was able to hear when God was speaking, and then to speak it with the empowerment and discernment of God’s Spirit. After that, to leave the results confidently in God’s hands.

Romans 10:13-15 says:

13 ‘Everyone who calls on the name of the LORD will be saved.’ 14 But how can they call on him to save them unless they believe in him? And how can they believe in him if they have never heard about him? And how can they hear about him unless someone tells them? 15 And how will anyone go and tell them without being sent? That is why the Scriptures say, “How beautiful are the feet of messengers who bring good news!”

Feet are not typically considered body parts of physical beauty. But the feet of the messengers were considered beautiful, not because of their appearance, but because of the life-changing news they carried.

Think of this picture of a messenger running across the mountains to deliver good news to the people. This was common in biblical times,there was no SMS, no Facebook Messenger. There were “actual messengers” that would run from city to city, bringing important news like military victories or defeats or other significant events that needed to be known right away. And Isaiah’s description of the messenger’s feet being beautiful (that’s what Paul uses here in Romans) is a picture of the joyful and life-changing message of salvation that God would soon bring to His people. He would free them from their spiritual captivity through the coming of the Messiah – Jesus Christ.

And thanks be to God! Jesus has come, freed us from the power of sin and death, and in his mercy given us an inheritance that is imperishable, undefiled, and unfading, waiting for us in Heaven. But until that day when Christ returns, Paul asks, how can they hear, believe, and experience that same freedom in Jesus unless someone tells them? This is a time, One Light Church, for us to be alert/wake up and take our place as watchmen. Through the power of the Holy Spirit, to mount the walls and sound a clear, unmistakable message of warning and hope to the world. Out of love and care, fulfilling the wonderful duty that God has given each of us, knowing our time is limited as we await the return of our King, Jesus.

  • How is God inviting you to be a part of the OLC community on mission to “speak like a watchmen”?

  • Is God highlighting someone in particular for you to pray for and speak to?

พูดเหมือนคนเฝ้ายาม

สำหรับวันสุดท้ายของการอดอาหารอธิษฐานเราจะเน้นไปที่แนวคิด “พูดเหมือนคนเฝ้ายาม” อย่างที่พูดถึงไว้ในวันที่ 1 ว่าคนเฝ้ายามในสมัยพระคัมภีร์ได้รับมอบหมายให้เฝ้าดูอย่างระมัดระวังและหากมีศัตรูเข้ามาใกล้ ให้เป่าแตรของเขาเตือนภัยให้กับประชาชน ถ้ายามไม่เห็นว่าศัตรูเข้ามาใกล้ หรือไม่สามารถส่งสัญญาณเตือนภัยได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม อาจจะมีผู้คนล้มตายได้ แต่ถ้าเขาสัตย์ซื่อต่อหน้าที่และเตือนภัยให้ประชาชนได้สำเร็จ ผู้คนมากมายก็จะรอด และคนในเมืองจะสามารถเตรียมพร้อม ปกป้องตัวเอง และช่วยตัวเองจากการถูกทำลายได้

เอเสเคียลได้รับเรียกจากพระเจ้าให้เป็น 'ยามฝ่ายจิตวิญญาณ' ให้กับผู้คนที่ถูกเนรเทศและเตือนผู้คนที่ไม่เชื่อฟัง เขาจะต้องยืนอยู่บนยอดกำแพงเมืองฝ่ายจิตวิญญาณ และพูดถึงการพิพากษาของพระเจ้าที่ใกล้เข้ามาและผลที่พวกเขาจะได้รับจากการการกระทำของเขา มีใครอยากสมัครทำหน้าที่นี้บ้าง? คงจะมีผลดีต่อชื่อเสียงของเขา ถ้าเขาไม่พูดอะไรเลย และปล่อยให้ความยุติธรรมและการพิพากษาของพระเจ้ามาสู่ผู้คน ถ้าทำอย่างนั้นก็หมือนยามที่ไม่อยากให้คนอารมณ์เสียด้วยการปลุกให้ตื่นกลางดึก จึงปล่อยให้คนหลับและถูกฆ่าตาย

ถ้าคนยามห่วงใยผู้คนในเมืองนี้สักแค่เพียงเล็กน้อย ยามก็จะต้อง “พูดออกมา” เมื่ออันตรายใกล้เข้ามา แม้ว่านั่นจะหมายถึงการส่งสารที่ไม่มีใครอยากได้ยินหรือเป็นสารที่อาจจะดูเหมือนไปรบกวนชีวิตของคนอื่นก็ตาม

ทำให้ผมนึ้ถึงถ้อยคำสุดท้ายที่พระเยซูได้พูดเมื่อพระองค์อยู่บนโลกนี้

“ท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก” (กิจการ 1:8)

“จงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา” (มัทธิว 28:29,20)

“พระบิดาทรงใช้เรามาอย่างไร เราก็ใช้พวกท่านไปอย่างนั้น” (ยอห์น 20:21)

พระเจ้าได้แต่งตั้งคริสตจักรของพระองค์ให้เป็นคนยามในโลกใบนี้ และมอบหมายงานให้กับเราที่จะประกาศข่าวประเสริฐเพื่อทุกคนจะได้รับความรอด

อย่างแรกคือ เตือนผู้คนถึงความร้ายแรงของบาปและผลที่จะเกิดขึ้น ตามพระคัมภีร์ นี่ไม่ใช่ข้อความที่เป็นที่ยิยมในสังคมปัจจุบัน แต่มันจำเป็นอย่างมากที่จะประกาศเพื่อให้ผู้คนเข้าใจสถานะที่แท้จริงของเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าพระเจ้า จากนั้น ให้แบ่งปันข่าวดีเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์ให้พวกเขาฟัง เรื่องที่ พระเจ้าทรงมีความอดทนนานกับเรา พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย แต่ประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่ (2 เปโตร 3:8-9) และที่ว่าพระเจ้าทรงรักโลก พระองค์ได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ (ยอห์น 3:16) และโดยผ่านการเสียสละของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เราได้รับการชำระให้สะอาดจากความบาปของเราและพระองค์มอบหัวใจใหม่ให้กับเรา และให้พระวิญญาณบริสุทธิ์กับเรา เพื่อเป็นการยืนยันว่าพระองค์ทรงอยู่ในเรา

นี่คือข้อความแห่งความหวังที่โลกเรากำลังต้องการอย่างแท้จริง

และแน่นอนว่าจะมีบางคนที่ไม่สนใจฟัง ก็เหมือนกับในช่วงเวลาของเอเสเคียล แต่ว่าท้ายที่สุดแล้วมันไม่ใช่ความรับผิดชอบของเราที่จะพยายามที่จะไปเปลี่ยนหัวใจของคนอื่น งานของเอเสเคียลคือ การเดินอย่างใกล้ชิดกับพระเจ้าเพื่อเขาจะได้ยินพระองค์อย่างชัดเจนเมื่อพระเจ้าพูด และหลังจากนั้นเขาก็พูดสิ่งนั้นออกมาด้วยพลังและปัญญาแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า

โรม 10:13-15 บอกว่า

13 เพราะว่า ผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด 14แต่พวกที่ยังไม่เชื่อในพระองค์ จะทูลขอต่อพระองค์ได้อย่างไร? และพวกที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์ จะเชื่อในพระองค์ได้อย่างไร? และเมื่อไม่มีผู้ประกาศ เขาจะได้ยินถึงพระองค์อย่างไร? 15และถ้าไม่มีใครใช้พวกเขาไป เขาจะไปประกาศได้อย่างไร? ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริงๆ หนอ”

เท้าของมนุษย์ก็ไม่ใช่ส่วนที่คนจะมองดูว่าเป็นสิ่งสวยงาม แต่เท้าของผู้นำข่าวดีได้ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่สวยงาม ไม่ใช่สวยจากจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่เพราะข่าวดีที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนที่พวกเขานำมาให้นั่นเอง

ลองคิดภาพดูว่า มีเหล่าผู้สื่อสารวิ่งข้ามภูเขาเพื่อจะประกาศข่าวประเสริฐให้กับผู้คน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ เห็นได้โดยทั่วไปในสมัยของพระคัมภีร์ ในช่วงเวลานั้นไม่มีข้อความทางโทรศัพท์หรือ Messenger ใน Facebook แต่ เวลานั้นมีผู้สื่อสารจริงๆ ที่จะวิ่งจากเมืองหนึ่งไปยังเมืองหนึ่ง เพื่อนำข่าวสารสำคัญไปประกาศ เช่น ข่าวเกี่ยวกับชัยชนะทางทหาร หรือการถูกโจมตี หรือเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นที่จำเป็นจะต้องให้ผู้คนได้รับรู้ทันท่วงที และคำอธิบายของอิสยาห์ที่ว่าเท้าของผู้ส่งสารนั้นสวยงาม (นั่นคือสิ่งที่เปาโลใช้ในภาษาโรม) คือภาพของข้อความแห่งความรอดที่น่ายินดีและข้อความที่เปลี่ยนแปลงชีวิตซึ่งพระเจ้าจะนำมาสู่ประชากรของพระองค์ในไม่ช้า และที่พวกเขาจะได้มีเสรีภาพจากการพันธนาการฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเขา โดยผ่านทางการเสด็จกลับมาของพระเมสสิยาห์ คือพระเยซูคริสต์

และขอบคุณพระเจ้า พระเยซูได้มาแล้ว พระเยซูได้ปลดปล่อยเราจากอำนาจของบาปและความตาย และด้วยพระเมตตาของพระองค์ได้มอบมรดกที่ไม่เสื่อมสลาย ไม่มีมลทิน และไม่ร่วงโรยรอเราอยู่ในสวรรค์ แต่จนกว่าพระคริสต์เสด็จกลับมา เปาโลถามว่าพวกเขาจะได้ยิน ได้เชื่อ และประสบกับเสรีภาพแบบเดียวกันในพระเยซูได้อย่างไร นอกจากว่าจะมีคนไปบอกพวกเขา

นี่เป็นเวลาที่เราคริสตจักรวันไลท์ที่จะตื่นตัวขึ้นและเริ่มทำหน้าที่คนยามของเรา ด้วยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราต้องเข้าประจำการ ป่าวประกาศถ้อยคำแห่งความรอดที่เป็นความหวังให้กับคนทั้งโลก และทำหน้าที่ที่พิเศษที่พระเจ้ามอบให้กับเราด้วยความรักและความใส่ใจ โดยคำนึงเสมอว่าเรามีเวลาที่จำกัดเพราะเรากำลังรอคอยการกลับมาของพระเยซู

  • พระเจ้ากำลังเชิญคุณให้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน OLC ในการ "พูดย่างอย่างคนเฝ้ายาม”?

  • พระเจ้ากำลังเน้นถึงใครบางคนโดยเฉพาะเพื่อให้คุณอธิษฐานและพูดคุยด้วยหรือไม่?